วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

(OS)

VMWear คืออะไร
โปรแกรม VMWare เป็นโปรแกรมที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อสร้างคอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Machine) ขึ้นบนระบบปฏิบัติการเดิมที่มีอยู่ โดยทั้งสองระบบสามารถทำงานพร้อมกันได้โดยแยกจากกันค่อนข้างเด็ดขาด (เสมือนเป็นคนละเครื่อง)
เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ DOS
สิงหาคม 1981 ไอบีเอ็มได้เปิดตัวพีซีรุ่นแรก และใช้ DOS 1.0 ใช้อุปกรณ์เก็บข้อมูลที่เป็นดิสก์ไดรว์ แบบที่ใช้แผ่นจานแม่เหล็ก หรือดิสเก็ตต์เพียงหน้าเดียว จุข้อมูล 160 กิโลไบต์ (KB) (1 กิโลไบต์ = 1,024 ไบต์ หรือ 1,024 ตัวอักษร)
ต่อมา ได้มีการปรับปรุงดิสก์ไดรว์ใหม่ ให้เป็นแบบใช้ได้สองหน้า ความจุเพิ่มเป็น 2 เท่า คือ 320 กิโลไบต์ และใช้ DOS 1.1
DOS 1.1 มีการเพิ่มการบันทึกเวลาที่สร้างไฟล์ใหม่ขึ้นบนแผ่นดิสก์เก็ตต์จากนาฬิกาภายในเครื่อง และสามารถอ่านข้อมูลจากที่บันทึกโดย DOS 1.0 ได้

ปี 1983 ไอบีเอ็ม ออกพีซีรุ่นใหม่ชื่อ PC/XT มีโครงสร้างทางฮาร์ดแวร์ใกล้เคียงกับพีซีรุ่นเดิม แต่เพิ่มฮาร์ดดิสก์ขนาด 10 เมกกะไบต์ (1 เมกกะไบต์ = 1,024 กิโลไบต์) มีการปรับปรุง DOS 1.1 โดยเพิ่มคำสั่งและการทำงานภายในหลายๆ อย่าง โดยเอาแนวความคิดมาจาก ระบบปฏิบัติการที่แพร่หลายที่สุดคือเครื่อง มินิคอมพิวเตอร์ และใช้ระบบปฏิบัติการ Unix และส่งผลให้เกิด DOS 2.0 ขึ้น
DOS 2.0 สามารถใช้กับอุปกรณ์ทางฮาร์ดแวร์ต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยหากมีการเพิ่มอุปกรณ์ใดๆ เข้าไป ก็ไม่ต้องไปแก้โปรแกรม DOS แต่ให้เขียนโปรแกรมย่อยสำหรับอินเตอร์อฟสให้เข้าตามแบบที่ DOS กำหนด แล้วนำมาเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งของ DOS


โปรแกรมย่อยๆ ที่ว่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนหรือควบคุมอุปกรณ์ หรือ เรียกว่า Device Driver
ต่อมา ไอบีเอ็มได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับในบ้าน เรียกว่า พีซีจูเนียร์ และมีการปรับปรุง DOS เป็นเวอร์ชัน 2.1
สิงหาคม 1984 ไอบีเอ็มผลิตเครื่อง พีซี/เอที (PC/AT) AT ย่อมาจาก Advanced Technology รุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ค่อนข้างมาก เช่น เปลี่ยนซีพียูจาก 8088 เป็น 80286 มีการเพิ่มคำสั่งใหม่ๆ เข้ามา แต่ยังทำงานคำสั่งของ 8088 ได้ทุกคำสั่ง มีฮาร์ดดิสก์ 20 เมกะไบต์ และมีดิสก์ไดรว์สำหรับแผ่นดิสเก็ตต์หรือฟล็อปปีดิสก์เพิ่มความจุเป็น 1.2 เมกะไบต์ (มากกว่า 3 เท่าของดิสก์เก็ตแบบเดิม) และมีการปรับปรุง DOS เป็นเวอร์ชัน 3.0
ต่อมา ไอบีเอ็มได้ออกอุปกรณ์ทางฮาร์ดแวร์ คือแผงวงจรสำหรับเชื่องโยงพีซีหลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน เรียกว่า Local Area Network (LAN) มีการใช้ดิสก์และพรินเตอร์ร่วมกัน มีสายต่อแต่ละเครื่องถึงกัน มีการปรับปรุง DOS เป็นเวอร์ชันใหม่คือ 3.1
ปี 1986 ไอบีเอ็มได้ออกเครื่องพีซีกระเป๋าหิ้วเรียกว่า PC Convertible ใช้ดิสก์เก็ต ขนาด 3.5 นิ้ว ใช้จอภาพ LCD (Liquid Crystal Display) DOS ปรับปรุงเป็น 3.2


DOS 3.30
เป็นโปรแกรมที่ปรับปรุงมากจาก เวอร์ชัน 3.20 และยังใช้กับเครื่อง PC convertible อยู่ โดยปรับปรุงดังนี้
- มีการควบคุมฮาร์ดดิสก์ให้ทำงานเร็วขึ้น และเก็บข้อมูลดีขึ้น
- มีการใช้งานตัวอักษรได้กับภาษาต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ โดยไม่จำเป็นต้อง Boot เครื่องใหม่ หากจะมีการเปลี่ยนภาษา

DOS 4.0
- มี DOS Shell หรือ command processor ที่ติดต่อกับผู้ใช้ในลักษณะมีเมนูให้เลือก มีรูปกราฟิกช่วยสื่อความหมาย ใช้ mouse เลือกเมนู
- จัดฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดเกิน 32 เมกะไบต์ได้ในพาร์ติชันเดียวและไดรว์เดียว โดยรองรับขนาดของดิสก์ได้ 512 เมกะไบต์
- สนับสนุนการใช้งาน EMS (Expanded Memory Specification) เวอร์ชัน 4.0
- ถึงแม้จะมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะ ความต้องการใช้หน่วยความจำเพิ่มขึ้น และปัญหาด้านความเร็วในการประมวลผล

DOS 5.0 กรกฎาคม 2534
- ใช้งานกับ High Memory Area และ Upper Memory Block เพื่อลดเนื้อที่หน่วยความจำที่ DOS ใช้
- ใช้ดิสเก็ตต์ขนาด 3.5 นิ้ว ที่มีความจุ 2.88 MB โดยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากเดิม 1.44 MB
- สามารถกู้ไฟล์คืนได้จากการถูกลบที่ไม่ตั้งใจ
- Text Editor เป็น full-screen editor
- DOSKEY ใช้สำหรับดึงคำสั่งเก่าที่เคยพิมพ์ไปแล้วกลับมาใช้ใหม่
- DOS Shell สามารถ load โปรแกรมหลายๆ โปรแกรมไปเก็บไว้ในหน่วยความจำได้

DOS 6.0 เมษายน 2536
- Interlink ใช้ติดต่อรับส่งข้อมูลในลักษณะของการข้ามไปใช้ดิสก์ และส่งข้อมูลไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ที่ต่ออยู่กับพีซีอีกเครื่องหนึ่ง โดยที่พีซีสองเครื่องต่อกันผ่าน parallel port
- DoubleSpace ใช้ย่อข้อมูลที่เก็บลงในดิสก์เพื่อประหยัดเนื้อที่
- MemMaker จัดการใช้ที่ในหน่วยความจำ RAM แบบต่างๆ ให้สามารถใส่โปรแกรมเข้าไป run ได้มากขึ้น
- MSAV (Microsoft Anti-Virus) เป็นโปรแกรมตรวจสอบทำลายไวรัส
-DEFRAG โปรแกรมจัดที่บนดิสก์ เพื่อเก็บข้อมูลไม่กระจัดกระจาย
- POWER โปรแกรมประหยัดพลังงาน ใช้สำหรับเครื่อง laptop หรือ notebook ที่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่
- MSBACKUP โปรแกรมแบ็คอัพตัวใหม่ นำมาแทน BACKUP ของ DOS ตัวเดิม
- Multiple configuration เป็นคำสั่งจัดการ configuration ตอนบู๊ตเครื่องหลายๆ แบบจากไฟล์ config.sys


DOS 6.22 ตุลาคม 2536
- เพิ่มโปรแกรม Scandisk สำหรับตรวจสอบสภาพดิสก์ และแก้ไขข้อผิดพลาด คล้ายกับ CHKDSK ได้ทำงานได้กว้างขวางกว่า ใช้ซ่อมแซมข้อมูลภายในดิสก์ได้
- ปรับปรุงการทำงาน Multiple Configuration ให้สามารถ confirm ก่อนจะ run แต่ละคำสั่งในไฟล์ autoexec.bat (DOS 6.0 ทำได้แต่ในไฟล์ config.sys)
- DoubleSpace เพิ่มการทำงานแบบ DoubleGuard ในการตรวจสอบว่าโปรแกรม DoubleSpace ทำงานถูกต้องหรือไม่ ทำการขยายข้อมูลให้ดิสก์ที่ถูกย่อแล้วกลับเป็นดิสก์ธรรมดาได้
-SmartDrive เพื่อป้องกันไฟดับหรือเครื่องขัดข้องแล้วทำให้ข้อมูลสูญหาย
- MOVE,COPY XCOPY เพิ่มการถามให้ confirm ก่อนจะ copy
- DISKCOPY เพิ่มการใช้ดิสก์เป็นที่พักข้อมูล ทำให้ไม่ต้องสลับดิสก์เมื่อมีการ copy
- DIR, CHKDSK, FORMAT, MEM เพิ่มการแสดงผลโดยมี , (comma) คั่นทุกๆ สามหลัก
- DEFRAG ปรับปรุงการใช้งาน Extended Memory ให้ดีขึ้น ทำให้ใช้กับดิสก์ขนาดใหญ่และมีไฟล์จำนวนมากได้

เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ Window
วินโดวส์ที่ถูกพัฒนาโดยไมโครซอฟต์ในรุ่นแรก ๆจะใช้กับเครื่องไอบีเอ็ม และไอบีเอ็มคอมแพททิเบิล ที่มีซีพียูเบอร์ 8028680386 และ 80486 และในปี 1990 ไมโครซอฟต์ได้ออกวินโดวส์เวอร์ชัน 3.0 ออกมาเพื่อทำการโปรโมทผู้ใช้ไม่ให้หันไปนิยมใช้แมคอิ นทอชโอเอสแทนดอสอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าวินโดวส์จะง่าย ต่อการใช้งานมากกว่าดอสแต่ในเวอร์ชันแรก ๆ การใช้งานก็ยังไม่ง่ายเท่าของแมคโอเอสและนอกจากนี้กา รติดตั้งอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ ก็ยังทำได้ยาก
วินโดวส์ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จากวินโดวส์เวอร์ชัน 3มาเป็น 4.0 วินโดวส์ 95 และวินโดวส์ 98 ในปัจจุบัน วินโดวส์ 95 และวินโดวส์ 98 ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการอย่างแท้จริงเนื่องจากมันไม ่ต้องอยู่ภายใต้ การควบคุมของดอสการติดตั้งจะแยกออกจากดอสอย่างเด็ดขา ดไม่จำเป็นต้องติดตั้งดอสก่อนนอกจากความง่ายและสะดวก ต่อการใช้งานแล้ววินโดวส์เวอร์ชันใหม่นี้ยังรวมซอฟต์ แวร์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ข องตนเองเข้ากับระบบเครือข่ายได้อย่างง่ายดายโดยเฉพาะ อย่างยิ่งเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและยังเอื้ออำนวยความ สะดวกในการโอนถ่ายซอฟต์แวร์หรือที่เรียกว่าดาวน์โหลด (Download) โปรแกรมเป็นอย่างมากนอกจากนี้วินโดวส์เวอร์ชันใหม่นี ้ยังมีความสามารถทางด้าน Plug–and-Playซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถนำอุปกรณ์ มาตรฐานต่าง ๆ เช่นซีดีรอมไดรฟ์ ซาวน์การ์ด โมเด็ม ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ฯลฯ ที่สนับสนุนPlug-and-Play มาต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองและเมื่อเปิด เครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 95 หรือ 98จะทำหน้าที่ติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้และทำให้เครื่อง คอมพิวเตอร์รู้จักอุปกรณ์เหล่านี้เอง โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
ในปัจจุบันตลาดพีซีเกือบทั้งหมดถูกครองครองโดยระบบปฏ ิบัติการวินโดวส์รวมทั้งมีการผลิตซอฟต์แวร์ที่รันอยู ่บนระบบปฏิบัติการประเภทนี้ออกมาสู่ตลาดอย่างมากมายด ังนั้นจึงมีผู้ใช้เป็นจำนวนมากที่นิยมใช้งานระบบปฏิบ ัติการวินโดวส์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วินโดวส์ 95 และ วินโดวส์ 98
Windows 95 เป็นระบบปฏิบัติการอย่างแท้จริงสร้างขึ้นมาเพื่อแทน DOS และ Windows 3.1 เลข 95 บอกถึงปีที่ออกจำหน่าย(ค.ศ. 1995) ส่วน Windows 98 ออกจำหน่าย ค.ศ. 1998 เป็นเพียงการปรับปรุงWindows 95 ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการใหม่
Windows NT พัฒนาขึ้นมาต่างหากจาก Windows 95กล่าวคือไม่ได้ใช้ Windows 95 เป็นฐานถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการคนละอย่างกับ Windows 95ถึงแม้จะมีหน้าตาเหมือนกัน มีวิธีใช้อย่างเดียวกัน คำว่า NT ย่อมาจาก NewTechnology เมื่อบริษัทไมโครซอฟท์คิดสร้าง OS ตระกูลนี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการจะแยกระหว่าง OSที่ใช้ในสำนักงานซึ่งโยงกันเป็นเครือข่ายประเภทที่ มีแม่ข่าย กับ OSที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตามบ้านซึ่งไม่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายแบบ LANไมโครซอฟท์ตั้งใจให้ใช้ระบบปฏิบัติการนี้ในระบบเค รือข่ายในวงการธุรกิจWindows NT แบ่งเป็น Windows NT Server ใช้ในเครื่องที่เป็นแม่ข่าย และWindows NT Client ใช้ในเครื่องที่เป็นลูกข่าย เราสามารถใช้ Windows NTClient เดี่ยว ๆ แทน Windows 95/98 ก็ได้แต่เนื่องจากต้องการทรัพยากรของเครื่องมากกว่า จึงอาจจะไม่เหมาะสม
Windows 2000 สืบเชื้อสายจาก Windows NT ไม่ใช่จากWindows 95/98 ก่อนที่จะมีรุ่นนี้ Windows NT พัฒนามาถึง Windows NT 4แต่แทนที่จะเรียกรุ่นต่อไปว่า Windows NT 5 กลับเปลี่ยนชื่อเป็น Windows2000 ใช้ปี ค.ศ. ที่ออกจำหน่ายเป็นชื่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันว่าสืบเชื้อสายจาก Windows 95/98 อนึ่ง Windows 2000ที่ใช้ในเครื่องที่เป็นลูกข่าย ใช้ชื่อว่า Windows 2000 Professionalไม่ใช่ Windows 2000 Client
Windows Millennium เป็นชื่อที่ชวนให้สับสนมากที่สุดเนื่องจากคำว่า Millennium บอกถึงสหัสวรรษใหม่คนจำนวนมากจึงคิดว่าเป็นอีกชื่อหน ึ่งของ Windows 2000(ซึ่งเป็นผลมาจากการที่มักเข้าใจผิดกันว่าปี 2000คือปีแรกของสหัสวรรษใหม่) แต่ที่จริง Windows Millenniumคือวินโดวส์ตระกูล Windows 95/98 รุ่นสุดท้ายหลังจากนี้บริษัทไมโครซอฟท์เลิกพัฒนาวินโ ดวส์ตระกูลนี้
Windows XP เป็นวินโดวส์รุ่นที่เราๆยังใช้อยู่(ส่วนใหญ่ใช้เล่นเ กม) เป็นสายพันธุ์Windows NT แต่เพิ่มฉบับที่สำหรับให้ใช้ตามบ้านได้ด้วย เรียกว่า WindowsXP Home Edition ซึ่งมาใช้แทนสายพันธุ์ Windows 95
Windows Vista เป็น Windowsรุ่นปัจจุบันที่มีฟังค์ชั่นมากมาย(สเปคก้อมาก มายไปด้วย-*-)ระบบกราฟฟิคแบบสุดยอดอย่าง Aero Filp 3D เป็นต้น และการใช้งานที่สะดวก
Windows Seven เป็นรุ่นในอนาคต ที่น่าจะมาในปี 2009ซึ่งเป็นที่น่าเป็นห่วงเพราะได้มีการประกาศจาก PC WOLD ว่าอาจเป็น Windowsรุ่นสุดท้าย แต่ทาง Microsoft ได้ประกาศ ไม่ไช่รุ่นสุดท้ายแน่นอน

เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ Linux ,Unix
Linux ลีนุกซ์ถือกำเนิดขึ้นในฟินแลนด์ ปี คศ. 1980 โดยลีนุส โทรวัลด์ส (Linus Trovalds) นักศึกษาภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ในมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ลีนุส เห็นว่าระบบมินิกซ์ (Minix) ที่เป็นระบบยูนิกซ์บนพีซีในขณะนั้น ซึ่งทำการพัฒนาโดย ศ.แอนดรูว์ ทาเนนบาวม์ (Andrew S. Tanenbaum) ยังมีความสามารถไม่เพียงพอแก่ความต้องการ จึงได้เริ่มต้นทำการพัฒนาระบบยูนิกซ์ของตนเองขึ้นมา โดยจุดประสงค์อีกประการ คือต้องการทำความเข้าใจในวิชาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วยเมื่อเขาเริ่มพัฒนาลีนุกซ์ไปช่วงหนึ่งแล้ว เขาก็ได้ทำการชักชวนให้นักพัฒนาโปรแกรมอื่นๆมาช่วยทำการพัฒนาลีนุกซ์ ซึ่งความร่วมมือส่วนใหญ่ก็จะเป็นความร่วมมือผ่านทางอินเทอร์เนต ลีนุสจะเป็นคนรวบรวมโปรแกรมที่ผู้พัฒนาต่างๆได้ร่วมกันทำการพัฒนาขึ้นมาและแจกจ่ายให้ทดลองใช้เพื่อทดสอบหาข้อบกพร่อง ที่น่าสนใจก็คืองานต่างๆเหล่านี้ผู้คนทั้งหมดต่างก็ทำงานโดยไม่คิดค่าตอบแทน และทำงานผ่านอินเทอร์เนตทั้งหมด ปัจจุบันเวอร์ชันล่าสุดของระบบลีนุกซ์ที่ได้ประกาศออกมาคือเวอร์ชัน 2.0.13 ข้อสังเกตในเรื่องเลขรหัสเวอร์ชันนี้ก็คือ ถ้ารหัสเวอร์ชันหลังทศนิยมตัวแรกเป็นเลขคู่เช่น 1.0.x,1.2.x เวอร์ชันเหล่านี้จะถือว่าเป็นเวอร์ชันที่เสถียรแล้วและมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเลขคี่เช่น 1.1.x, 1.3.x จะถือว่าเป็นเวอร์ชันทดสอบ ซึ่งในเวอร์ชันเหล่านี้จะมีการเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆลงไป และยังต้องทำการทดสอบหาข้อผิดพลาดต่างๆอยู่
UNIX ในปี 1969-1970 Kenneth Thompson, Dennis Ritchie และพรรคพวกใน AT&T Bell Labs เริ่มทำการพัฒนาระบบปฏิบัติการเล็กๆขึ้นมาเพื่อสนองการใช้งานบางอย่าง ภายหลังระบบปฏิบัติการนี้ก็ถูกเรียกชื่อว่า UNIX (ซึ่งเมื่อก่อนเคยให้ชื่อโปรเจคนี้ว่า MULTICS)ในปี 1972-1973 ระบบได้ถูกทำการเขียนใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา C ด้วยความที่มองการณ์ไกลของผู้เขียนในขณะนั้น ทำให้ unix กลายเป็นสิ่งแปลกในสายตาคนทั่วไป และเริ่มมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง เนื่องจากตัวระบบสามารถทำงานบนฮาร์ดแวร์ในหลายรูปแบบได้ การพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ก็ถูกเขียนขึ้นมาเสริมตัวระบบเองซึ่งในขณะนั้นก็มีหลายมหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมพัฒนาตัวระบบกับทาง Bell Labs เช่นกันในปี 1979 ตัวปรับปรุงเวอร์ชั่นที่ 7 ของ Unix ได้ถูกปล่อยออกมาสู่สาธารณะภายหลังจากนั้นเอง Unix ก็มีอนาคตที่สั่นคลอน เนื่องจากกลุ่มมหาวิทยาลัยต่างๆ นำโดย Berkeley ได้ตั้งทีมขึ้นมาโดยการจัดตั้งองค์กรที่ชื่อ Berkeley Software Distribution (BSD) ในขณะที่ AT&T ก็พัฒนาระบบของตนต่อไปในชื่อ System III ถัดมาเป็น System Vในช่วงปลายยุค 1980 ถึงต้นยุค 1990 สงครามระหว่างสองค่าย UNIX ที่แตกตัวมาจากพ่อเดียวกันก็เกิดขึ้น โดยในหลายๆปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็ต่างรับเอาความสามารถที่คู่แข่งตนมีมาผนวกในระบบปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา ในแง่ของการตลาดแล้ว System V เอาชนะในด้านของ มาตรฐานไปได้ และผู้ผลิตฮาร์ดแวร์หลายเจ้าก็หันมาซบอกกับ AT&Tอย่างไรก็ตาม System V ได้จบชีวิตลงจากการที่ BSD ได้พัฒนาขีดความสามารถขึ้นมาอย่างสูง จนทำให้เหมือนเกิดการรวมตัวของแต่ละผ่านในด้านความสามารถของโปรแกรม ถ้าใครแข็งแรงพอ คนนั้นก็สามารถอยู่ได้ ผลคือ BSD ยังไม่ตาย และกลับได้รับความนิยมอย่างสูง ผลของการรวมตัวครั้งนั้นทำให้มีลูกๆของ BSD เกิดขึ้นมามากมาย ทั้งหมดเกิดจาก รุ่นปู่ 7 รุ่นที่ผ่านมาของ Unix หลายๆเวอร์ชั่นก็ยังคงได้รับการสานต่อจากบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่เคยพัฒนาระบบจากเวอร์ชั่นก่อนหน้า เพื่อไว้ใช้ในองค์กร หรือส่งขาย เช่น Sun Solaris (เป็นตัวพัฒนาจาก System V) สำหรับ 3 เวอร์ชั่นของ BSD นั่นจบลงที่การเปิดเป็น Open Source นั่นคือ FreeBSD (ที่ผมใช้อยู่) NetBSD และ OpenBSD

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น