วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

4. ISM band คืออะไรจงอธิบาย
ISM ย่อมาจาก Industrial Sciences Medicine หรือคลื่นความถี่สาธารณะสำหรับอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ โดยย่านความถี่สำหรับคลื่นวิทยุในโลกนี้ จัดได้ว่ามีการควบคุมการเป็นเจ้าของหรือใช้งาน ซึ่งงานวิจัยสำหรับการขอคลื่นความถี่มาใช้งานทำได้ค่อนข้างยาก จึงมีการตั้ง ISM band นี้ขึ้นมาสำหรับการวิจัยโดยเฉพาะ โดยแบ่งเป็นสามย่านความถี่ คือ 900 เมกะเฮิรตซ์, 2.4 กิกะเฮิรตซ์ และ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ สำหรับ Wireless Network 802.11 จะใช้สองย่านความถี่หลัง แต่เนื่องจากความถี่ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ นั้น มีการยอมให้ใช้ได้เฉพาะบางประเทศเท่านั้น (ส่วนที่เหลืออาจจะถูกจัดสรรไปให้กับองค์กรต่างๆ ก่อนจะมีการประกาศ ISM Band ออกมา) ทำให้มาตรฐาน a ไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศบางประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย เราจึงใช้งานได้เฉพาะ 802.11b และ g เท่านั้น (การพัฒนามาตรฐาน g ก็มาจากเหตุผลนี้เช่นกัน)
5. Architecture (Topology โทโพโลยี) ของ WLAN มีอะไรบ้างอธิบายโดยละเอียด
ระบบเครือข่ายไร้สาย (WLAN= Wireless Local Area Network) คือระบบการสื่อสารข้อมูลที่นำมาใช้ทดแทน หรือเพิ่มต่อกับระบบเครือข่ายแลนใช้สายแบบดั้งเดิมโดยใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุในย่านวิทยุ RF และคลื่นอินฟราเรดในการรับและส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องผ่านทางอากาศ ทะลุกำแพง เพดาน หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ โดยปราศจากความต้องการของการเดินสาย และนอกจากนั้นระบบเครือข่ายไร้สายก็ยังมีคุณสมบัติครอบคลุมทุกอย่างเหมือนกับระบบแลนใช้สาย และที่สำคัญก็คือการที่มันไม่ต้องใช้สาย ทำให้การเคลื่อนย้ายการใช้งานทำได้โดยสะดวก ไม่เหมือนระบบแลนแบบใช้สายที่ต้องใช้เวลา และการลงทุนในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์1. รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายไร้สายPeer-to-Peer (ad hoc mode) รูปแบบการเชื่อมต่อแลนไร้สายแบบ Peer to Peer เป็นการเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องนั้นจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทำงานของตนเองได้ และขอใช้บริการเครื่องอื่นได้ จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้งานเพื่อจุดประสงค์ด้านความรวดเร็ว หรือติดตั้งได้โดยง่ายเมื่อไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับ ตัวอย่างเช่น ในศูนย์ประชุมหรือการประชุมที่จัดนอกสถานที่2. Client/Server (Infrastructure mode) ระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Client/Server (Infrastructure mode) มีลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย Access Point (AP) หรือเรียกว่า "Hot Spot" ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สาย กับคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client) โดยจะกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อรับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมีโดยรอบ ซึ่ง AP 1 จุด สามารถให้บริการเครื่องลูกข่ายได้ถึง 15-50 อุปกรณ์ เหมาะสำหรับการนำไปขยายเครือข่าย หรือใช้ร่วมกับระบบเครือข่ายแบบใช้สายเดิมใน Office ห้องสมุด หรือในห้องประชุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น3. Multiple access points and roaming เป็นการเพิ่มจุดการติดตั้ง AP ให้มากขึ้น เพื่อให้การรับส่งสัญญาณในบริเวณของเครือข่ายขนาดใหญ่เป็นไปอย่างครอบคลุมทั่วถึง4. Use of an Extension Pointมีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สายThe Use of Directional Antennasระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่างกัน
6. อธิบายการทำงานของ Routing Information Prtocol (RIP)
RIP คือ Protocol gateway แบบภายในชนิดหนึ่งที่เหมาะกับองค์กรที่มี Network ขนาดเล็ก ซึ่งเป็น Routing Protocol ขนาดเล็กที่ใช้หา distance-vector ของการ routing โดยใช้ broadcast ที่เป็น User Datagram Protocol (UDP) เป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลในการเปลี่ยน ข้อมูลของ Routing** RIP นั้นจะเป็น Routing Protocol ที่ Support โดย IP Base image เท่านั้น หากเป็นตัวอื่น จะต้องมีการเรียกใช้ Stack master เพื่อใช้ในการ Run IP Service images.ในการใช้ RIP นั้น Switch จะทำการส่ง information ที่ update ทุกๆ 30 วินาที โดยหาหาก Router ไม่มีการ Receive ข้อมูลที่ Update 180 วินาที หรือมากกว่านั้น Router ตัวนั้นจะถูก Mark ให้เป็น Router ที่ Unusable แต่ถ้าหลังจากนั้น 240 วินาที Router ตัวนั้นก็จะถูก Remove ออกจาก Routing table ทำให้กลายเป็น non-updating router

ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN : WLAN) หมายถึง เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทย (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้


มาตราฐาน IEEE802.11g มาตราฐานนี้เป็นมาตราฐานใหม่ที่ความถี่ 2.4 GHz โดยสามารถรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 36 - 54 Mbps ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาตราฐาน 802.11b ซึ่ง 802.11g สามารถปรับระดับความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ 2 Mbps ได้ (ตามสภาพแวดล้อมของเครือข่ายที่ใช้งาน) มาตราฐานนี้เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้เป็นจำนวนมากและกำลังจะเข้ามาแทนที่ 802.11b ในอนาคตอันใกล้ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้มีบางผลิตภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวเข้ามาเสริมทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจาก 54 Mbps เป็น 108 Mbps แต่ต้องทำงานร่วมกันเฉพาะอุปกรณ์ที่ผลิตจากบริษัทเดียวกันเท่านั้น ซึ่งความสามารถนี้เกิดจากชิป (Chip) กระจายสัญญาณของตัวอุปกรณ์ที่ผู้ผลิตบางรายสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งสัญญาณเป็น 2 เท่าของการรับส่งสัญญาณได้ แต่ปัญหาของการกระจายสัญญาณนี้จะมีผลทำให้อุปกรณ์ไร้สายในมาตราฐาน 802.11b มีประสิทธิภาพลดลงด้วยเช่นกัน ด้านล่างเป็นตารางมาตราฐาน IEEE802.11 ของเครือข่ายไร้สาย



• มาตราฐาน IEEE802.11a เป็นมาตราฐานระบบเครือข่ายไร้สายที่มีประสิทธิภาพสูง ทำงานที่ย่านความถี่ 5 GHz มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 54 Mbps ที่ความเร็วนี้สามารถทำการแพร่ภาพและข่าวสารที่ต้องการความละเอียดสูงได้ อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสามารถปรับระดับให้ช้าลงได้ เพื่อเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้มากขึ้น เช่น 54, 48, 36, 24 และ 11 เมกกะบิตเป็นต้น ในขณะที่คลื่นความถี่ 5 GHz นี้ยังไม่ได้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้นปัญหาการรบกวนคลื่นความถี่จึงมีน้อย ต่างจากคลื่นความถี่ 2.4 GHz ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทำให้สัญญาณของคลื่นความถี่ 2.4 GHz ถูกรบกวนจากอุปกรณ์ประเภทอื่นที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกันได้ ระยะทางการเชื่อมต่อประมาณ 300 ฟิตจากจุดกระจายสัญญาณ Access Point หากเทียบกับมาตราฐาน 802.11b แล้ว ระยะทางจะได้น้อยกว่า 802.11b ที่คลื่นความถี่ต่ำกว่า และทั้ง 2 มาตราฐานนี้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ขณะที่ประเทศไทยไม่อนุญาติให้ใช้คลื่นความถี่ 5 GHz จึงไม่เห็นอุปกรณ์ WLAN มาตราฐาน 802.11a จำหน่ายในประเทศไทย แต่ความเร็ว 54 Mbps สามารถใช้งานได้ที่มาตราฐาน 802.11b ที่จะกล่าวถึงต่อไป • มาตราฐาน IEEE802.11b 802.11b เป็นมาตราฐานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย เป็นมาตราฐาน WLAN ที่ทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4 GHz (คลื่นความถี่นี้สามารถใช้งานในประเทศไทยได้) มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 11 Mbps ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เครือข่ายไร้สายภายใต้มาตราฐานนี้ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญแต่ละผลิดภัณฑ์มีความสามารถทำงานร่วมกันได้ อุปกรณ์ของผู้ผลิตทุกยี่ห้อต้องผ่านการตรวจสอบจากสถาบัน Wi-Fi Alliance เพื่อตรวจสอบมาตราฐานของอุปกรณ์และความเข้ากันได้ของแต่ละผู้ผลิต ปัจจุบันนี้นิยมนำอุปกรณ์ WLAN ที่มาตราฐาน 802.11b ไปใช้ในองค์กรธุรกิจ สถาบันการศึกษา สถานที่สาธารณะ และกำลังแพร่เข้าสู่สถานที่พักอาศัยมากขึ้น มาตราฐานนี้มีระบบเข้ารหัสข้อมูลแบบ WEP ที่ 128 บิต
6. อธิบายการทำงานของ Routing Information Prtocol (RIP)
RIP คือ Protocol gateway แบบภายในชนิดหนึ่งที่เหมาะกับองค์กรที่มี Network ขนาดเล็ก ซึ่งเป็น Routing Protocol ขนาดเล็กที่ใช้หา distance-vector ของการ routing โดยใช้ broadcast ที่เป็น User Datagram Protocol (UDP) เป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลในการเปลี่ยน ข้อมูลของ Routing** RIP นั้นจะเป็น Routing Protocol ที่ Support โดย IP Base image เท่านั้น หากเป็นตัวอื่น จะต้องมีการเรียกใช้ Stack master เพื่อใช้ในการ Run IP Service images.ในการใช้ RIP นั้น Switch จะทำการส่ง information ที่ update ทุกๆ 30 วินาที โดยหาหาก Router ไม่มีการ Receive ข้อมูลที่ Update 180 วินาที หรือมากกว่านั้น Router ตัวนั้นจะถูก Mark ให้เป็น Router ที่ Unusable แต่ถ้าหลังจากนั้น 240 วินาที Router ตัวนั้นก็จะถูก Remove ออกจาก Routing table ทำให้กลายเป็น non-updating router
7 อธิบายหลักการทำงานของ Open Shortest Path First (OSPE)
Open Shortest Path First (OSPF) OSPF (Open Shortest Path First) เป็นโปรโตคอล router ใช้ภายในเครือระบบอัตโนมัติที่นิยมใช้ Routing Information Protocol แลโปรโตคอล router ที่เก่ากว่าที่มีการติดตั้งในระบบเครือข่าย OSPF ได้รับการออแบบโดย Internet Engineering Task Force (IETF) เหมือนกับ RIP ในฐานะของ interior gateway protocol การใช้ OSPF จะทำให้ host ที่ให้การเปลี่ยนไปยังตาราง routing หรือปกป้องการเปลี่ยนในเครือข่ายทันที multicast สารสนเทศไปยัง host ในเครือข่าย เพื่อทำให้มีสารสนเทศในตาราง routing เดียวกัน แต่ต่างจาก RIP เมื่อตาราง routing มีการส่ง host ใช้ OSPF ส่งเฉพาะส่วนที่มีการเปลี่ยน ในขณะที่ RIP ตาราง routing มีการส่ง host ใกล้เคียงทุก 30 วินาที OSPE จะ multicast สารสนเทศที่ปรับปรุงเฉพาะ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น OSPF ไม่ใช้การนับจำนวนของ hop แต่ใช้เส้นทางตามรายละเอียด “line state” ที่เป็นส่วนสำคัญเพิ่มขึ้น ในสารสนเทศของเครือข่าย OSPF ให้ผู้ใช้กำหนด cost metric เพื่อให้ host ของ router กำหนดเส้นทางที่พอใจ OSPF สนับสนุน subnet mask ของเครือข่าย ทำให้เครือข่ายสามารถแบ่งย่อยลงไป RIP สนับสนุนภายใน OSPF สำหรับ router-to-end ของสถานีการสื่อสาร เนื่องจากเครือข่ายจำนวนมากใช้ RIP ผู้ผลิต router มีแนวโน้มสนับสนุน RIP ส่วนการออกแบบหลักคือ OSPF
4 อธิบายการเลือกเส้นทางแบบ static และ dynamic
Address แบบ static และแบบ dynamic แตกต่างกันอย่างไรIP address แบบ static เกิดขึ้นเมื่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแจก IP address ให้กับผู้ใช้แต่ละคนอย่างถาวร ทำให้ address เหล่านี้จะไม่เปลี่ยนเปลงไม่ว่าจะใช้งานไปนานเท่าใด อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการแจก
IP address แบบ static ไปให้ผู้ใช้แล้ว IP address นั้นไม่ได้ถูกใช้งาน จะทำให้สูญเสีย IP address นั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแต่ละรายมีจำนวน IP address ที่ให้ใช้งานอยู่จำกัด จึงจำเป็นจะต้องทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน IP address
IP address แบบ dynamic เป็นวิธีที่ทำให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตใช้ประโยชน์จาก IP address ที่มีได้ประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากระบบ IP address แบบ dynamic นี้จะทำให้ IP address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา ถ้าหาก address ใดไม่ถูกใช้งานก็จะสามารถนำไปแจกต่อให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ต้องการใช้งานต่อไปได้
5 อธิบายการโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Distance Vector และ Link State
1.Distance Vector Routing Protocol เป็น Protocol ที่ ใช้ ระยะทาง hop count ในการคำนวณเส้นทาง เช่น RIP ,IGRP
2. Link State Routing Protocol ใช้ algorithm ในการวาด topology ขึ้นมา แล้วนำมาควณเส้นทางที่ดีที่สุด เช่น OSPF, IS-IS
1 Router คืออะไร
Router เป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่า Bridge โดยทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ node หนึ่งใน LAN ซึ่งจะทำหน้าที่รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อไปยังปลายทาง โดยอาจส่งในรูปแบบของ packet ที่ต่างออกไป เพื่อไปผ่านสายสัญญาณแบบอื่นๆ เช่น สายโทรศัพท์ที่ต่อผ่านโมเด็มก็ได้ ดังนั้นจึงอาจใช้ Router ในการเชื่อมต่อ LAN หลายแบบเข้าด้วยกันผ่าน WAN ได้ด้วย และเนื่องจากการที่มันทำตัวเสมือนเป็น node หนึ่งใน LAN นี้ยังทำให้มันสามารถทำงานอื่นๆได้อีกมาก เช่น รวบรวมข้อมูลเพื่อหาเส้นทางที่ดที่สุดในการส่งข้อมูลต่อหรือตรวจสอบข้อมูลที่เข้ามานั้นมาจากไหน ควรจะให้ผ่านหรือไม่ เพื่อช่วยในเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย
2 อธิบายการทำงานของ Router
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง Bridge กับ Router คือ Bridge ทำงานในระดับ Data Link Layer คือจะใช้ข้อมูล station address ในการทำงานส่งข้อมูลไปยังที่ใดๆ ซึ่งหมายเลข station address นี้มีการกำหนดมาจากฮาร์ดแวร์หรือที่ส่วนของ Network Interface Card (NIC) และถูกกำหนดมาเฉพาะตัวจากโรงงานไม่ให้ซ้ำกัน ถ้ามีการเปลี่ยน NIC นี้ไป ก็จำทำให้ station address เปลี่ยนไปด้วย ส่วน Network Layer address ในกการส่งผ่านข้อมูลโปรโตคอลของเครือข่ายชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น IPX, TCP/IP หรือ AppleTalk ซึ่งจะเป็นโปรโตคอลที่ทำงานใน Network Layer การกำหนด Network address ทำได้โดยผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้น ทำให้สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และสามารถใช้อุปกรณ์ Router เชื่อมโยงเครือข่ายที่แยกจากกันให้สามารถส่งผ่านข้อมูลร่วมกันได้และทำให้เครือข่ายขยายออกไปได้เรื่อยๆหน้าที่หลักของ Router คือการหาเส้นทางในการส่งผ่านข้อมูลที่ดีที่สุด และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น ทั้งนี้ Router สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้สื่อสัญญาณหลายแบบแตกต่างกันได้ไม่ว่าจะเป็น Ethernet, Token Rink หรือ FDDI ทั้งๆที่ในแต่ละระบบจะมี packet เป็นรูปแบบของตนเองซึ่งแตกต่างกัน โดยโปรโตคอลที่ทำงานในระดับบนหรือ Layer 3 ขึ้นไปเช่น IP, IPX หรือ AppleTalk เมื่อมีการส่งข้อมูลก็จะบรรจุข้อมูลนั้นเป็น packet ในรูปแบบของ Layer 2 คือ Data Link Layer เมื่อ Router ได้รับข้อมูลมาก็จะตรวจดูใน packet เพื่อจะทราบว่าใช้โปรโตคอลแบบใด จากนั้นก็จะตรวจดูเส้นทางส่งข้อมูลจากตาราง Routing Table ว่าจะต้องส่งข้อมูลนี้ไปยังเครือข่ายใดจึงจะต่อไปถึงปลายทางได้ แล้วจึงบรรจุข้อมูลลงเป็น packet ของ Data Link Layer ที่ถูกต้องอีกครั้ง เพื่อส่งต่อไปยังเครือข่ายปลายทาง
3 Routing Protocol คืออะไร
Routing Protocol คือโพรโทคอลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน routing table ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆที่ทำงานในระดับ Network Layer (Layer 3) เช่น Router เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งข้อมูล (IP packet) ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผู้ดูแลเครือข่ายไม่ต้องแก้ไขข้อมูล routing table ของอุปกรณ์ต่างๆตลอดเวลา เรียกว่าการทำงานของ Routing Protocol ทำให้เกิดการใช้งาน dynamic routing ต่อระบบเครือข่าย

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

การหาค่า ID network(Datacomm)

/26.......2 ยกกำลัง 2 เท่ากับ 4...และ 2 ยกกำลัง 6 เท่ากับ 64
11111111.11111111.11111111.11000000
บิต...เลขฐานสอง...Network ID...Broadcast...IP Usage
0.....00000000...0.............63.......1-62
1.....00000001...64............127......65-126
2.....00000010...128...........191......129-190
3.....00000011...192...........255......193-254
.................................................
/27.......2 ยกกำลัง 3 เท่ากับ 8...และ 2 ยกกำลัง 5 เท่ากับ 32
11111111.11111111.11111111.11100000
บิต...เลขฐานสอง...Network ID...Broadcast...IPUsage
0...00000000......0...........31........1-30
1...00000001......32..........63........33-62
2...00000010......64..........95........65-94
3...00000011......96..........127.......97-126
4...0000100.......28..........159.......129-158
5...00000101......160.........191.......161-190
6...00000110......192.........223.......193-222
7...00000111......224.........256.......225-255
................................................
/28.......2ยกกำลัง4เท้ากับ16.....2ยกกำลัง4เท่ากับ16
11111111.11111111.11111111.11110000
บิต...เลขฐานฐานสอง ...Network ID..broad cast...IP Usage
0...00000000.....0............15..........1-14 1...00100000.....16...........31..........17-30 2...01000000.....32...........63..........33-62
3...01100000.....64...........79..........65-78 4...10000000.....80...........95..........81-94
5...10100000.....96...........127.........97-126
6...11000000.....128..........159.........129-158
7...11000000.....160..........191.........160-190
8...00001000.....192..........207.........193-206 9...00001001.....208..........223.........209-222 10..00001010.....224..........239.........225-238 11..00001011.....240..........255.........241-254
12..00001100.....256..........271.........257-270
13..00001101.....272..........287.........273-286 14..00001110.....288..........303.........289-302
15..00001111.....304..........319.........305-318 16..00010000.....320..........335.........321-334
...................................................
/29.......2ยกกำลัง5เท่ากับ32.... 2ยกกำลัง3เท่ากับ8
11111111.11111111.11111111.11111000
บิต...เลขฐาน ...Network ID...broad cast...IP Usage
0...00000000...0............7............1 -6
1...00100000...8............5............9-14
2...01000000...6............23...........17-22
3...01100000...24...........31...........25-30
4...10000000...32...........39...........33-38
5...10100000...40...........47...........41-46
6...11000000...48...........55...........49-54
7...11000000...56...........63...........57-62 8...00001000...64...........71...........65-70
9...00001001...72...........79...........73-78
10..00001010...80...........87............81-86
11..00001011...88...........95............89-94
12..00001100...96...........103...........97-102
13..00001101...104..........111...........105-110
14..00001110...112..........119...........113-118
15..00001111...120..........127...........121-126
16..00010000...128..........135...........129-134
17..00010001...136..........143...........137-142
18..00010010...144..........151...........145-150
19..00010011...152..........159...........153-158
20..00010100...160..........167...........161-166
21..00010101...168..........175...........169-174
22..00010110...176..........183...........177-182
23..00010111...184..........191...........185-190
24..00011000...192..........199...........193-198
25..00011001...200..........207...........201-206
26..00011010...208..........215...........209-214
27..00011011...216..........223...........217-222
28..00011100...224..........231...........225-230
29..00011101...232..........239...........233-240
30..00011110...240..........247...........241-248
31..00011111...248..........255...........249-256
...................................................
/30.......2ยกกำลัง6เท่ากับ64 และ 2ยกกำลัง2เท่ากับ4
11111111.11111111.11111111.11111100
บิต...เลขฐานสอง...Network ID...Broadcast...IP Usage
0...00000000....0..........3...........1-2
1...00000001....4..........7...........5-6
2...00000010....8..........11..........9-10
3...00000011....12.........15..........13-14
4...0000100.....16.........19..........17-18
5...00000101....20.........23..........21-22
6...00000110....24.........27..........25-26
7...00000111....28.........31..........29-30
8...00001000....32.........35..........33-34
9...00001001....36.........39..........37-38
10..00001010....40.........43..........41-42
11..00001011....44.........47..........45-46
12..00001100....48.........51..........49-50
13..00001101....52.........55..........53-54
14..00001110....56.........59..........57-58
15..00001111....60.........63..........61-62
16..00010000....64.........67..........65-66
17..00010001....68.........71..........69-70
18..00010010....72.........75..........73-74
19..00010011....76.........79..........77-78
20..00010100....80.........83..........81-82
21..00010101....84.........87..........85-86
22..00010110....88.........91..........89-90
23..00010111....92.........95..........93-94
24..00011000....96.........99..........97-98
25..00011001....100........103.........101-102
26..00011010....104........107.........105-106
27..00011011....108........111.........109-110
28..00011100....112........115.........113-114
29..00011101....116........119.........117-118
30..00011110....120........123.........121-122
31..00011111....124........127.........125-126
32..00100000....128........131.........129-130
33..00100001....132........135.........133-134
34..00100010....136........139.........137-138
35..00100011....140........143.........141-142
36..00100100....144........147.........145-146
37..00100101....148........151.........149-150
38..00100110....152........155.........153-154
39..00100111....156........159.........157-158
40..00101000....160........163.........161-162
41..00101001....164........167.........165-166.
42..00101010....168........171.........169-170
43..00101011....172........175.........173-174
44..00101100....176........179.........177-178
45..00101101....180........183.........181-182
46..00101110....184........187.........185-186
47..00101111....188........191.........189-190
48..00110000....192........195.........193-194
49..00110001....196........199.........197-198
50..00110010....200........203.........201-202
51..00110011....204........207.........205-206
52..00110100....208........211.........209-210
53..00110101....212........215.........213-214
54..00110110....216........219.........217-218
55..00110111....220........223.........221-222
56..00111000....224........227.........225-226
57..00111001....228........231.........229-230
58..00111010....232........235.........233-234
59..00111011....236........239.........237-238
60..00111100....240........243.........241-242
61..00111101....244........247.........245-246
62..00111110....248........251.........249-250
63..00111111....252........255.........253-254
...............................................

การหา ID network

ชุดที่ 1 192.168.2.10/27
IP............... 11000000.10101000.00000010.00001010
subnet mask 11111111.11111111.11111111.11100000
AND............ 11000000.10101000.00000010.00000000
ฐาน10.......... 192.168.2.0192.168.5.10
/27IP............... 11000000.10101000.00000101.00001010
subnet mask 11111111.11111111.11111111.11100000
AND............ 11000000.10101000.00000101.00000000
ฐาน10.......... 192.168.5.0
ดังนั้น ไม่มี NetworkID
ชุดที่ 210.2.100.8/14
IP............... 00001010.00000010.01100100.00001000
Subnet mask 11111111.11111100.00000000.00000000
AND............ 00001010.00000000.00000000.00000000
ฐาน10.......... 10.0.0.010.3.150.9
/14IP............... 00001010.00000011.10010110.0000100
1Subnet mask 11111111.11111100.00000000.00000000
AND............ 00001010.00000000.00000000.00000000
ฐาน10.......... 10.0.0.0
ดังนั้น มี NetworkID คือ 10.0.0.0