วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

4. ISM band คืออะไรจงอธิบาย
ISM ย่อมาจาก Industrial Sciences Medicine หรือคลื่นความถี่สาธารณะสำหรับอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ โดยย่านความถี่สำหรับคลื่นวิทยุในโลกนี้ จัดได้ว่ามีการควบคุมการเป็นเจ้าของหรือใช้งาน ซึ่งงานวิจัยสำหรับการขอคลื่นความถี่มาใช้งานทำได้ค่อนข้างยาก จึงมีการตั้ง ISM band นี้ขึ้นมาสำหรับการวิจัยโดยเฉพาะ โดยแบ่งเป็นสามย่านความถี่ คือ 900 เมกะเฮิรตซ์, 2.4 กิกะเฮิรตซ์ และ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ สำหรับ Wireless Network 802.11 จะใช้สองย่านความถี่หลัง แต่เนื่องจากความถี่ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ นั้น มีการยอมให้ใช้ได้เฉพาะบางประเทศเท่านั้น (ส่วนที่เหลืออาจจะถูกจัดสรรไปให้กับองค์กรต่างๆ ก่อนจะมีการประกาศ ISM Band ออกมา) ทำให้มาตรฐาน a ไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศบางประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย เราจึงใช้งานได้เฉพาะ 802.11b และ g เท่านั้น (การพัฒนามาตรฐาน g ก็มาจากเหตุผลนี้เช่นกัน)
5. Architecture (Topology โทโพโลยี) ของ WLAN มีอะไรบ้างอธิบายโดยละเอียด
ระบบเครือข่ายไร้สาย (WLAN= Wireless Local Area Network) คือระบบการสื่อสารข้อมูลที่นำมาใช้ทดแทน หรือเพิ่มต่อกับระบบเครือข่ายแลนใช้สายแบบดั้งเดิมโดยใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุในย่านวิทยุ RF และคลื่นอินฟราเรดในการรับและส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องผ่านทางอากาศ ทะลุกำแพง เพดาน หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ โดยปราศจากความต้องการของการเดินสาย และนอกจากนั้นระบบเครือข่ายไร้สายก็ยังมีคุณสมบัติครอบคลุมทุกอย่างเหมือนกับระบบแลนใช้สาย และที่สำคัญก็คือการที่มันไม่ต้องใช้สาย ทำให้การเคลื่อนย้ายการใช้งานทำได้โดยสะดวก ไม่เหมือนระบบแลนแบบใช้สายที่ต้องใช้เวลา และการลงทุนในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์1. รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายไร้สายPeer-to-Peer (ad hoc mode) รูปแบบการเชื่อมต่อแลนไร้สายแบบ Peer to Peer เป็นการเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องนั้นจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทำงานของตนเองได้ และขอใช้บริการเครื่องอื่นได้ จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้งานเพื่อจุดประสงค์ด้านความรวดเร็ว หรือติดตั้งได้โดยง่ายเมื่อไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับ ตัวอย่างเช่น ในศูนย์ประชุมหรือการประชุมที่จัดนอกสถานที่2. Client/Server (Infrastructure mode) ระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Client/Server (Infrastructure mode) มีลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย Access Point (AP) หรือเรียกว่า "Hot Spot" ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สาย กับคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client) โดยจะกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อรับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมีโดยรอบ ซึ่ง AP 1 จุด สามารถให้บริการเครื่องลูกข่ายได้ถึง 15-50 อุปกรณ์ เหมาะสำหรับการนำไปขยายเครือข่าย หรือใช้ร่วมกับระบบเครือข่ายแบบใช้สายเดิมใน Office ห้องสมุด หรือในห้องประชุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น3. Multiple access points and roaming เป็นการเพิ่มจุดการติดตั้ง AP ให้มากขึ้น เพื่อให้การรับส่งสัญญาณในบริเวณของเครือข่ายขนาดใหญ่เป็นไปอย่างครอบคลุมทั่วถึง4. Use of an Extension Pointมีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สายThe Use of Directional Antennasระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่างกัน
6. อธิบายการทำงานของ Routing Information Prtocol (RIP)
RIP คือ Protocol gateway แบบภายในชนิดหนึ่งที่เหมาะกับองค์กรที่มี Network ขนาดเล็ก ซึ่งเป็น Routing Protocol ขนาดเล็กที่ใช้หา distance-vector ของการ routing โดยใช้ broadcast ที่เป็น User Datagram Protocol (UDP) เป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลในการเปลี่ยน ข้อมูลของ Routing** RIP นั้นจะเป็น Routing Protocol ที่ Support โดย IP Base image เท่านั้น หากเป็นตัวอื่น จะต้องมีการเรียกใช้ Stack master เพื่อใช้ในการ Run IP Service images.ในการใช้ RIP นั้น Switch จะทำการส่ง information ที่ update ทุกๆ 30 วินาที โดยหาหาก Router ไม่มีการ Receive ข้อมูลที่ Update 180 วินาที หรือมากกว่านั้น Router ตัวนั้นจะถูก Mark ให้เป็น Router ที่ Unusable แต่ถ้าหลังจากนั้น 240 วินาที Router ตัวนั้นก็จะถูก Remove ออกจาก Routing table ทำให้กลายเป็น non-updating router

ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN : WLAN) หมายถึง เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทย (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้


มาตราฐาน IEEE802.11g มาตราฐานนี้เป็นมาตราฐานใหม่ที่ความถี่ 2.4 GHz โดยสามารถรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 36 - 54 Mbps ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาตราฐาน 802.11b ซึ่ง 802.11g สามารถปรับระดับความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ 2 Mbps ได้ (ตามสภาพแวดล้อมของเครือข่ายที่ใช้งาน) มาตราฐานนี้เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้เป็นจำนวนมากและกำลังจะเข้ามาแทนที่ 802.11b ในอนาคตอันใกล้ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้มีบางผลิตภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวเข้ามาเสริมทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจาก 54 Mbps เป็น 108 Mbps แต่ต้องทำงานร่วมกันเฉพาะอุปกรณ์ที่ผลิตจากบริษัทเดียวกันเท่านั้น ซึ่งความสามารถนี้เกิดจากชิป (Chip) กระจายสัญญาณของตัวอุปกรณ์ที่ผู้ผลิตบางรายสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งสัญญาณเป็น 2 เท่าของการรับส่งสัญญาณได้ แต่ปัญหาของการกระจายสัญญาณนี้จะมีผลทำให้อุปกรณ์ไร้สายในมาตราฐาน 802.11b มีประสิทธิภาพลดลงด้วยเช่นกัน ด้านล่างเป็นตารางมาตราฐาน IEEE802.11 ของเครือข่ายไร้สาย



• มาตราฐาน IEEE802.11a เป็นมาตราฐานระบบเครือข่ายไร้สายที่มีประสิทธิภาพสูง ทำงานที่ย่านความถี่ 5 GHz มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 54 Mbps ที่ความเร็วนี้สามารถทำการแพร่ภาพและข่าวสารที่ต้องการความละเอียดสูงได้ อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสามารถปรับระดับให้ช้าลงได้ เพื่อเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้มากขึ้น เช่น 54, 48, 36, 24 และ 11 เมกกะบิตเป็นต้น ในขณะที่คลื่นความถี่ 5 GHz นี้ยังไม่ได้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้นปัญหาการรบกวนคลื่นความถี่จึงมีน้อย ต่างจากคลื่นความถี่ 2.4 GHz ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทำให้สัญญาณของคลื่นความถี่ 2.4 GHz ถูกรบกวนจากอุปกรณ์ประเภทอื่นที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกันได้ ระยะทางการเชื่อมต่อประมาณ 300 ฟิตจากจุดกระจายสัญญาณ Access Point หากเทียบกับมาตราฐาน 802.11b แล้ว ระยะทางจะได้น้อยกว่า 802.11b ที่คลื่นความถี่ต่ำกว่า และทั้ง 2 มาตราฐานนี้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ขณะที่ประเทศไทยไม่อนุญาติให้ใช้คลื่นความถี่ 5 GHz จึงไม่เห็นอุปกรณ์ WLAN มาตราฐาน 802.11a จำหน่ายในประเทศไทย แต่ความเร็ว 54 Mbps สามารถใช้งานได้ที่มาตราฐาน 802.11b ที่จะกล่าวถึงต่อไป • มาตราฐาน IEEE802.11b 802.11b เป็นมาตราฐานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย เป็นมาตราฐาน WLAN ที่ทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4 GHz (คลื่นความถี่นี้สามารถใช้งานในประเทศไทยได้) มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 11 Mbps ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เครือข่ายไร้สายภายใต้มาตราฐานนี้ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญแต่ละผลิดภัณฑ์มีความสามารถทำงานร่วมกันได้ อุปกรณ์ของผู้ผลิตทุกยี่ห้อต้องผ่านการตรวจสอบจากสถาบัน Wi-Fi Alliance เพื่อตรวจสอบมาตราฐานของอุปกรณ์และความเข้ากันได้ของแต่ละผู้ผลิต ปัจจุบันนี้นิยมนำอุปกรณ์ WLAN ที่มาตราฐาน 802.11b ไปใช้ในองค์กรธุรกิจ สถาบันการศึกษา สถานที่สาธารณะ และกำลังแพร่เข้าสู่สถานที่พักอาศัยมากขึ้น มาตราฐานนี้มีระบบเข้ารหัสข้อมูลแบบ WEP ที่ 128 บิต
6. อธิบายการทำงานของ Routing Information Prtocol (RIP)
RIP คือ Protocol gateway แบบภายในชนิดหนึ่งที่เหมาะกับองค์กรที่มี Network ขนาดเล็ก ซึ่งเป็น Routing Protocol ขนาดเล็กที่ใช้หา distance-vector ของการ routing โดยใช้ broadcast ที่เป็น User Datagram Protocol (UDP) เป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลในการเปลี่ยน ข้อมูลของ Routing** RIP นั้นจะเป็น Routing Protocol ที่ Support โดย IP Base image เท่านั้น หากเป็นตัวอื่น จะต้องมีการเรียกใช้ Stack master เพื่อใช้ในการ Run IP Service images.ในการใช้ RIP นั้น Switch จะทำการส่ง information ที่ update ทุกๆ 30 วินาที โดยหาหาก Router ไม่มีการ Receive ข้อมูลที่ Update 180 วินาที หรือมากกว่านั้น Router ตัวนั้นจะถูก Mark ให้เป็น Router ที่ Unusable แต่ถ้าหลังจากนั้น 240 วินาที Router ตัวนั้นก็จะถูก Remove ออกจาก Routing table ทำให้กลายเป็น non-updating router
7 อธิบายหลักการทำงานของ Open Shortest Path First (OSPE)
Open Shortest Path First (OSPF) OSPF (Open Shortest Path First) เป็นโปรโตคอล router ใช้ภายในเครือระบบอัตโนมัติที่นิยมใช้ Routing Information Protocol แลโปรโตคอล router ที่เก่ากว่าที่มีการติดตั้งในระบบเครือข่าย OSPF ได้รับการออแบบโดย Internet Engineering Task Force (IETF) เหมือนกับ RIP ในฐานะของ interior gateway protocol การใช้ OSPF จะทำให้ host ที่ให้การเปลี่ยนไปยังตาราง routing หรือปกป้องการเปลี่ยนในเครือข่ายทันที multicast สารสนเทศไปยัง host ในเครือข่าย เพื่อทำให้มีสารสนเทศในตาราง routing เดียวกัน แต่ต่างจาก RIP เมื่อตาราง routing มีการส่ง host ใช้ OSPF ส่งเฉพาะส่วนที่มีการเปลี่ยน ในขณะที่ RIP ตาราง routing มีการส่ง host ใกล้เคียงทุก 30 วินาที OSPE จะ multicast สารสนเทศที่ปรับปรุงเฉพาะ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น OSPF ไม่ใช้การนับจำนวนของ hop แต่ใช้เส้นทางตามรายละเอียด “line state” ที่เป็นส่วนสำคัญเพิ่มขึ้น ในสารสนเทศของเครือข่าย OSPF ให้ผู้ใช้กำหนด cost metric เพื่อให้ host ของ router กำหนดเส้นทางที่พอใจ OSPF สนับสนุน subnet mask ของเครือข่าย ทำให้เครือข่ายสามารถแบ่งย่อยลงไป RIP สนับสนุนภายใน OSPF สำหรับ router-to-end ของสถานีการสื่อสาร เนื่องจากเครือข่ายจำนวนมากใช้ RIP ผู้ผลิต router มีแนวโน้มสนับสนุน RIP ส่วนการออกแบบหลักคือ OSPF
4 อธิบายการเลือกเส้นทางแบบ static และ dynamic
Address แบบ static และแบบ dynamic แตกต่างกันอย่างไรIP address แบบ static เกิดขึ้นเมื่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแจก IP address ให้กับผู้ใช้แต่ละคนอย่างถาวร ทำให้ address เหล่านี้จะไม่เปลี่ยนเปลงไม่ว่าจะใช้งานไปนานเท่าใด อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการแจก
IP address แบบ static ไปให้ผู้ใช้แล้ว IP address นั้นไม่ได้ถูกใช้งาน จะทำให้สูญเสีย IP address นั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแต่ละรายมีจำนวน IP address ที่ให้ใช้งานอยู่จำกัด จึงจำเป็นจะต้องทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน IP address
IP address แบบ dynamic เป็นวิธีที่ทำให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตใช้ประโยชน์จาก IP address ที่มีได้ประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากระบบ IP address แบบ dynamic นี้จะทำให้ IP address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา ถ้าหาก address ใดไม่ถูกใช้งานก็จะสามารถนำไปแจกต่อให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ต้องการใช้งานต่อไปได้
5 อธิบายการโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Distance Vector และ Link State
1.Distance Vector Routing Protocol เป็น Protocol ที่ ใช้ ระยะทาง hop count ในการคำนวณเส้นทาง เช่น RIP ,IGRP
2. Link State Routing Protocol ใช้ algorithm ในการวาด topology ขึ้นมา แล้วนำมาควณเส้นทางที่ดีที่สุด เช่น OSPF, IS-IS
1 Router คืออะไร
Router เป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่า Bridge โดยทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ node หนึ่งใน LAN ซึ่งจะทำหน้าที่รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อไปยังปลายทาง โดยอาจส่งในรูปแบบของ packet ที่ต่างออกไป เพื่อไปผ่านสายสัญญาณแบบอื่นๆ เช่น สายโทรศัพท์ที่ต่อผ่านโมเด็มก็ได้ ดังนั้นจึงอาจใช้ Router ในการเชื่อมต่อ LAN หลายแบบเข้าด้วยกันผ่าน WAN ได้ด้วย และเนื่องจากการที่มันทำตัวเสมือนเป็น node หนึ่งใน LAN นี้ยังทำให้มันสามารถทำงานอื่นๆได้อีกมาก เช่น รวบรวมข้อมูลเพื่อหาเส้นทางที่ดที่สุดในการส่งข้อมูลต่อหรือตรวจสอบข้อมูลที่เข้ามานั้นมาจากไหน ควรจะให้ผ่านหรือไม่ เพื่อช่วยในเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย
2 อธิบายการทำงานของ Router
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง Bridge กับ Router คือ Bridge ทำงานในระดับ Data Link Layer คือจะใช้ข้อมูล station address ในการทำงานส่งข้อมูลไปยังที่ใดๆ ซึ่งหมายเลข station address นี้มีการกำหนดมาจากฮาร์ดแวร์หรือที่ส่วนของ Network Interface Card (NIC) และถูกกำหนดมาเฉพาะตัวจากโรงงานไม่ให้ซ้ำกัน ถ้ามีการเปลี่ยน NIC นี้ไป ก็จำทำให้ station address เปลี่ยนไปด้วย ส่วน Network Layer address ในกการส่งผ่านข้อมูลโปรโตคอลของเครือข่ายชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น IPX, TCP/IP หรือ AppleTalk ซึ่งจะเป็นโปรโตคอลที่ทำงานใน Network Layer การกำหนด Network address ทำได้โดยผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้น ทำให้สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และสามารถใช้อุปกรณ์ Router เชื่อมโยงเครือข่ายที่แยกจากกันให้สามารถส่งผ่านข้อมูลร่วมกันได้และทำให้เครือข่ายขยายออกไปได้เรื่อยๆหน้าที่หลักของ Router คือการหาเส้นทางในการส่งผ่านข้อมูลที่ดีที่สุด และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น ทั้งนี้ Router สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้สื่อสัญญาณหลายแบบแตกต่างกันได้ไม่ว่าจะเป็น Ethernet, Token Rink หรือ FDDI ทั้งๆที่ในแต่ละระบบจะมี packet เป็นรูปแบบของตนเองซึ่งแตกต่างกัน โดยโปรโตคอลที่ทำงานในระดับบนหรือ Layer 3 ขึ้นไปเช่น IP, IPX หรือ AppleTalk เมื่อมีการส่งข้อมูลก็จะบรรจุข้อมูลนั้นเป็น packet ในรูปแบบของ Layer 2 คือ Data Link Layer เมื่อ Router ได้รับข้อมูลมาก็จะตรวจดูใน packet เพื่อจะทราบว่าใช้โปรโตคอลแบบใด จากนั้นก็จะตรวจดูเส้นทางส่งข้อมูลจากตาราง Routing Table ว่าจะต้องส่งข้อมูลนี้ไปยังเครือข่ายใดจึงจะต่อไปถึงปลายทางได้ แล้วจึงบรรจุข้อมูลลงเป็น packet ของ Data Link Layer ที่ถูกต้องอีกครั้ง เพื่อส่งต่อไปยังเครือข่ายปลายทาง
3 Routing Protocol คืออะไร
Routing Protocol คือโพรโทคอลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน routing table ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆที่ทำงานในระดับ Network Layer (Layer 3) เช่น Router เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งข้อมูล (IP packet) ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผู้ดูแลเครือข่ายไม่ต้องแก้ไขข้อมูล routing table ของอุปกรณ์ต่างๆตลอดเวลา เรียกว่าการทำงานของ Routing Protocol ทำให้เกิดการใช้งาน dynamic routing ต่อระบบเครือข่าย

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

การหาค่า ID network(Datacomm)

/26.......2 ยกกำลัง 2 เท่ากับ 4...และ 2 ยกกำลัง 6 เท่ากับ 64
11111111.11111111.11111111.11000000
บิต...เลขฐานสอง...Network ID...Broadcast...IP Usage
0.....00000000...0.............63.......1-62
1.....00000001...64............127......65-126
2.....00000010...128...........191......129-190
3.....00000011...192...........255......193-254
.................................................
/27.......2 ยกกำลัง 3 เท่ากับ 8...และ 2 ยกกำลัง 5 เท่ากับ 32
11111111.11111111.11111111.11100000
บิต...เลขฐานสอง...Network ID...Broadcast...IPUsage
0...00000000......0...........31........1-30
1...00000001......32..........63........33-62
2...00000010......64..........95........65-94
3...00000011......96..........127.......97-126
4...0000100.......28..........159.......129-158
5...00000101......160.........191.......161-190
6...00000110......192.........223.......193-222
7...00000111......224.........256.......225-255
................................................
/28.......2ยกกำลัง4เท้ากับ16.....2ยกกำลัง4เท่ากับ16
11111111.11111111.11111111.11110000
บิต...เลขฐานฐานสอง ...Network ID..broad cast...IP Usage
0...00000000.....0............15..........1-14 1...00100000.....16...........31..........17-30 2...01000000.....32...........63..........33-62
3...01100000.....64...........79..........65-78 4...10000000.....80...........95..........81-94
5...10100000.....96...........127.........97-126
6...11000000.....128..........159.........129-158
7...11000000.....160..........191.........160-190
8...00001000.....192..........207.........193-206 9...00001001.....208..........223.........209-222 10..00001010.....224..........239.........225-238 11..00001011.....240..........255.........241-254
12..00001100.....256..........271.........257-270
13..00001101.....272..........287.........273-286 14..00001110.....288..........303.........289-302
15..00001111.....304..........319.........305-318 16..00010000.....320..........335.........321-334
...................................................
/29.......2ยกกำลัง5เท่ากับ32.... 2ยกกำลัง3เท่ากับ8
11111111.11111111.11111111.11111000
บิต...เลขฐาน ...Network ID...broad cast...IP Usage
0...00000000...0............7............1 -6
1...00100000...8............5............9-14
2...01000000...6............23...........17-22
3...01100000...24...........31...........25-30
4...10000000...32...........39...........33-38
5...10100000...40...........47...........41-46
6...11000000...48...........55...........49-54
7...11000000...56...........63...........57-62 8...00001000...64...........71...........65-70
9...00001001...72...........79...........73-78
10..00001010...80...........87............81-86
11..00001011...88...........95............89-94
12..00001100...96...........103...........97-102
13..00001101...104..........111...........105-110
14..00001110...112..........119...........113-118
15..00001111...120..........127...........121-126
16..00010000...128..........135...........129-134
17..00010001...136..........143...........137-142
18..00010010...144..........151...........145-150
19..00010011...152..........159...........153-158
20..00010100...160..........167...........161-166
21..00010101...168..........175...........169-174
22..00010110...176..........183...........177-182
23..00010111...184..........191...........185-190
24..00011000...192..........199...........193-198
25..00011001...200..........207...........201-206
26..00011010...208..........215...........209-214
27..00011011...216..........223...........217-222
28..00011100...224..........231...........225-230
29..00011101...232..........239...........233-240
30..00011110...240..........247...........241-248
31..00011111...248..........255...........249-256
...................................................
/30.......2ยกกำลัง6เท่ากับ64 และ 2ยกกำลัง2เท่ากับ4
11111111.11111111.11111111.11111100
บิต...เลขฐานสอง...Network ID...Broadcast...IP Usage
0...00000000....0..........3...........1-2
1...00000001....4..........7...........5-6
2...00000010....8..........11..........9-10
3...00000011....12.........15..........13-14
4...0000100.....16.........19..........17-18
5...00000101....20.........23..........21-22
6...00000110....24.........27..........25-26
7...00000111....28.........31..........29-30
8...00001000....32.........35..........33-34
9...00001001....36.........39..........37-38
10..00001010....40.........43..........41-42
11..00001011....44.........47..........45-46
12..00001100....48.........51..........49-50
13..00001101....52.........55..........53-54
14..00001110....56.........59..........57-58
15..00001111....60.........63..........61-62
16..00010000....64.........67..........65-66
17..00010001....68.........71..........69-70
18..00010010....72.........75..........73-74
19..00010011....76.........79..........77-78
20..00010100....80.........83..........81-82
21..00010101....84.........87..........85-86
22..00010110....88.........91..........89-90
23..00010111....92.........95..........93-94
24..00011000....96.........99..........97-98
25..00011001....100........103.........101-102
26..00011010....104........107.........105-106
27..00011011....108........111.........109-110
28..00011100....112........115.........113-114
29..00011101....116........119.........117-118
30..00011110....120........123.........121-122
31..00011111....124........127.........125-126
32..00100000....128........131.........129-130
33..00100001....132........135.........133-134
34..00100010....136........139.........137-138
35..00100011....140........143.........141-142
36..00100100....144........147.........145-146
37..00100101....148........151.........149-150
38..00100110....152........155.........153-154
39..00100111....156........159.........157-158
40..00101000....160........163.........161-162
41..00101001....164........167.........165-166.
42..00101010....168........171.........169-170
43..00101011....172........175.........173-174
44..00101100....176........179.........177-178
45..00101101....180........183.........181-182
46..00101110....184........187.........185-186
47..00101111....188........191.........189-190
48..00110000....192........195.........193-194
49..00110001....196........199.........197-198
50..00110010....200........203.........201-202
51..00110011....204........207.........205-206
52..00110100....208........211.........209-210
53..00110101....212........215.........213-214
54..00110110....216........219.........217-218
55..00110111....220........223.........221-222
56..00111000....224........227.........225-226
57..00111001....228........231.........229-230
58..00111010....232........235.........233-234
59..00111011....236........239.........237-238
60..00111100....240........243.........241-242
61..00111101....244........247.........245-246
62..00111110....248........251.........249-250
63..00111111....252........255.........253-254
...............................................

การหา ID network

ชุดที่ 1 192.168.2.10/27
IP............... 11000000.10101000.00000010.00001010
subnet mask 11111111.11111111.11111111.11100000
AND............ 11000000.10101000.00000010.00000000
ฐาน10.......... 192.168.2.0192.168.5.10
/27IP............... 11000000.10101000.00000101.00001010
subnet mask 11111111.11111111.11111111.11100000
AND............ 11000000.10101000.00000101.00000000
ฐาน10.......... 192.168.5.0
ดังนั้น ไม่มี NetworkID
ชุดที่ 210.2.100.8/14
IP............... 00001010.00000010.01100100.00001000
Subnet mask 11111111.11111100.00000000.00000000
AND............ 00001010.00000000.00000000.00000000
ฐาน10.......... 10.0.0.010.3.150.9
/14IP............... 00001010.00000011.10010110.0000100
1Subnet mask 11111111.11111100.00000000.00000000
AND............ 00001010.00000000.00000000.00000000
ฐาน10.......... 10.0.0.0
ดังนั้น มี NetworkID คือ 10.0.0.0

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

ข้อสอบกลางภาค (Datacomm)

ตอนที่1 ข้อสอบอัตนัยเรี่อง Network Introduction,Ip address,Ascii จงอธิบายให้ชัดเจน ตรงคำถาม และให้สมบูรณ์ที่สุด
1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์หมายถึงอะไร (5 คะแนน)
ตอบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์หมายถึง การนำเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อเพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูล
2. จงบอกหน้าที่และโครงสร้างของ OSILAYER (10 คะแนน)
ตอบ โครงสร้างOSI LAYER มีระดับชั้นของการสื่อสารข้อมูล 7 ชั้น เพื่อใช้เป็นมาตฐานในการสื่อสารข้อมูลต่างยี่ห้อกันได้โดยตั้งชื่อของมาตรฐานนี่ว่าระบบเปิด หรือOSI : Open System interconnection โดยมีระดับชั้นของการสื่อสารข้อมูล 7 ชั้น ดังนี้
1. ระดับกายภาพ Physical Layer เป็นการทำงานทางกายภาพของระบบเชื่อมต่อ ทั้งในส่วนของสัญญาณทาสงไฟฟ้า ระบบสายสัญญาณ(cable)และตัวเชื่อม(connector)
2 .ระดับการเชื่อมโยงข้อมูล Data link layer รับผิดชอบการนจำข้อมูลเข้าและออกจากตัวกลาง การจัดเฟรม การตรวจสอบและการจัดการข้อผิดพลาดของข้อมูลโดยจะมีการแบ่งออกเป็น2ชั้นย่อยคือ LIC(Logical Link Control)จะอยู่ในครึ่งบน รับผิดชอบในเรื่องการตรวจสอบข้อผิดพลาดและ MAC(Media Access control)อยู่ในครึ่งล่าง เป็นส่วนของวิธีส่งข้อมูลผ่านสื่อกลาง
3. ระดับเครื่อข่ายข้อมูล Network layer จะทำการตรวจสอบการส่งผ่านข้อมูลผ่านเครือข่าย เช่น เวลาที่ใช้ในการส่ง การส่งต่อ การจัดลำดับของข้อมูล
4. ระดับการขนส่งข้อมูล Transport layer Transport Layer จะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่าง 2 Layer คือ Application - Oriented Layer ซึ่งอยู่เหนือกว่า Network - Dependent Protocol Layer ซึ่งอยู่ต่ำกว่า Transport Layer มีหน้าที่ในการเตรียมข้อความต่าง ๆ ในการสื่อสารแบบ Session Layer บริการของ Transport Layer จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ o Class 0 จะให้บริการคำสั่งพื้นฐานในการสื่อสารข้อมูล o Class 4 จะให้บริการเกี่ยวกับคำสั่งในการควบคุมการไหล ของข้อมูล และคำสั่งในการตรวจสอบข้อผิดพลาดต่าง ๆ
5. ระดับการโต้ตอบระหว่างกัน Session layer รับผิดชอบการควบคุมการติดต่อและการประสานของข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่าย เช่น การตรวจสอบลำดับก่อนหลังที่ถูกต้องของ Pocket เป็นต้น
6. ระดับการแสดงผล Presentation layer เป็นการทำงานของระบบรักษาความลับและการเปลี่ยนแปลงข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ให้สามารถแลกเปลี่ยนกันได้
7. ระดับการประยุกต์ใช้งานApplication layer เป็นการทำงานของซอฟแวร์ประยุกต์ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบเครือข่าย เช่น การส่งผ่านแฟ้มข้อมูล การจำลอง terminal การแลกเปลี่ยนข้อมูล
3. Topology คืออะไร จงบอกข้อดีข้อเสียของ topology แต่ละชนิด (10 คะแนน)
ตอบ โทโปโลยีคือลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของเครือข่าย ซึ่งหมายถึง ลักษณะของการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและคุณสมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่ายให้เหมาะสมกับการใช้งาน รูปแบบของโทโปโลยีของเครือข่ายหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้
-โทโปโลยีรูปดาว(Star) เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR) หลายแฉก โดยมีศูนย์กลางของดาว หรือฮับเป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย
ข้อดี ของเครือข่ายแบบ STAR คือการติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำ ได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความเสียหายก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์กลางสามารถตัดโหนดนั้นออกจากการสื่อสารในเครือข่ายได้
ข้อเสีย ของเครือข่ายแบบ STAR คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางมีราคาแพง และถ้าศูนย์กลางเกิดความเสียหายจะทำให้ทั้งระบบทำงานไม่ได้เลย นอกจากนี้เครือข่ายแบบ STAR ยังใช้สายสื่อสารมากกว่าแบบ BUS และ แบบ RING
-โทโปโลยีแบบบัส (Bus) ลักษณะการทำงานของเครือข่ายโทโปโลยีแบบ BUS คืออุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า "บัส" (BUS)เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนด หนึ่งภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่งจะถูกส่งเข้าสู่สายบัสในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะประกอบด้วยตำแหน่งของผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การสื่อสารภายในสายบัสจะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทำหน้าที่ดูดกลืนสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูลอื่น ๆ ที่เดินทางอยู่บนบัส
ข้อเสีย อย่างหนึ่งของเครือข่ายแบบ BUS คือการไหลของข้อมูลที่เป็น 2 ทิศทางทำให้ระบุจุดที่เกิดความเสียหายในบัสยาก และโหนดที่ถัดต่อไปจากจุดที่เกิดความเสียหายจนถึงปลายของบัสจะไม่สามารถทำการสื่อสารข้อมูลได้ แต่โหนดที่อยู่ก่อนหน้าจุดเสียหายจะยังคงสื่อสารข้อมูลได้
-โทโปโลยีรูปวงแหวน (Ring) เครือข่ายแบบ RING เป็นการสื่อสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปในทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน หรือ RING นั่นเอง
ข้อดี ของเครือข่ายแบบ RING คือผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้หลาย ๆ โหนดพร้อมกัน โดยกำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลงในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล รีพีตเตอร์ของแต่ละโหนดจะทำการตรวจสอบเอง ว่ามีข้อมูลส่งมาให้ที่โหนดตนเองหรือไม่ การส่งผ่านข้อมูลในเครือข่ายแบบ RING จะเป็นไปในทิศทางเดียวจากโหนดสู่โหนด จึงไม่มีการชนกันของสัญญาณข้อมูล
ข้อเสีย คือ ถ้ามีโหนดใดโหนดหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังโหนดต่อไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้งเครือข่ายขาดการติดต่อสื่อสารได้ ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือขณะที่ข้อมูลถูกส่งผ่านแต่ละโหนด เวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับการที่ทุก ๆ รีพีตเตอร์จะต้องทำการคัดลอกข้อมูล และตรวจสอบตำแหน่งปลายทางของข้อมูล อีกทั้งการติดตั้งเครือข่ายแบบ RING ก็ทำได้ยากกว่าแบบ BUS และใช้สายสื่อสารมากกว่า
4. จงอธิบายความหมายและรายละเอียดของ (10 คะแนน)
-10 base5
10Base5 หมายถึงระบบเครือข่ายที่มีความเร็ว 10 Mbps BASE หมายถึงการรับ-ส่งข้อมูลจะอยู่ในรูปแบบของ Baseband ส่วน 5 หมายถึงความยาวของสายสัญญาณที่ใช้รับส่งข้อมูล 500 เมตร ซึ่งสายสัญญาณที่ใช้ในเครือข่าย 10Base5 นี้ได้แก่สาย Coaxial อย่างหนา อุปกรณ์ที่ใช้ใน 10Base5 ต่อไปนี้เป็นชุดของอุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณสำหรับเครือข่าย 10Base5
• Network Interface Card (NIC) หรือ LAN Card พร้อมด้วย Connector ที่เรียกว่า AUI Connector ขนาด 15 Pin
• สายที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ Transceiver หรือที่เรียกว่าสาย AUI ที่ได้มาตรฐาน IEEE
• อุปกรณ์ 10Base5 Transceiver หรือที่เรียกว่า MAU อุปกรณ์นี้ใช้เชื่อมต่อกับสายสัญญาณรับส่งข้อมูล และต้องทำงานภายใต้มาตรฐาน IEEE
• 10Base5 Repeater พร้อมด้วย AUI Port ขนาด 15 Pin Network Interface Card (NIC) Ethernet NIC เป็น Card ที่ประกอบด้วยชุดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน้าที่การทำงานหลายอย่างที่สำคัญบนเครือข่าย Ethernet ประกอบด้วยหน้าที่การทำงาน ดังต่อไปนี้
• จัดสร้าง Frame ของข้อมูลขึ้น รวมทั้งเอาข้อมูลไปไว้ใน Frame
• ตรวจสอบสายสัญญาณเพื่อดูว่า มีใครใช้สายอยู่หรือไม่ (สำหรับ 10Base-2)
• ตรวจสอบการชนกันของสัญญาณบนเครือข่าย (สำหรับ 10Base-2)
- 10baesT
10baesT 10 หมายถึง 10Mbps ส่วน T หมายถึง Twisted Pair ลักษณะนี้แสดงว่าเป็นระบบเครือข่ายEthernet ที่ใช้สายTwisted Pair เป็นสื่อในการส่งสัญญาณการเชื่อมต่อแบบ 10BaseT นั้นเป็นที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากติดตั้งได้ง่าย และดูแลรักษาง่าย ความจริง 10BaseT ไม่ได้เป็น Ethernet โดยแท้ แต่เป็นการผสมระหว่าง Ethernet และ Tolopogy แบบ Star สายที่ใช้ก็จะเป็น สาย UTP และมีอุปกรณ์ตัวกลางเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างสายที่มาจากเครื่อง ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย อุปกรณ์ตัวกลางนี้เรียกว่า HUB ซึ่งจะคอยรับสัญญาณระหว่าง เครื่อง Client กับเครื่อง Server ในกรณีที่มีสายจากเครื่อง Client ใดเกิดเสียหรือมีปัญหา สัญญาณไฟที่ปรากฏอยู่บน Hub จะดับลง ทำให้เราทราบได้ว่า เครื่อง Client ใดมีปัญหา และปัญหาที่เกิดขึ้น จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อระบบ Network เลย แต่ระบบนี้จะต้องทำการดูแลรักษา Hub ให้เป็นอย่างดี เนื่องจาก Hub มีปัญหา จะส่งผลกระทบ ทำให้ระบบหยุดชะงักลงทันที การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายในลักษณะ 10BaseT นั้น เครื่องทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ HUB โดยใช้สาย UTP ซึ่งเข้าหัวต่อเป็น RJ45 เสียบเข้ากับ HUB และ Card Lan ซึ่งจะเห็นว่า เครือข่ายแบบ 10BaseT นี้จะใช้อุปกรณ์ไม่กี่อย่าง ซึ่งต่างกับระบบเครือข่าย 10Base2 แต่อุปกรณ์ของ 10BaseT นั้นจะแพงกว่า
-10baesTX
10baesTX ถูกออกแบบมาบนพื้นฐานของมาตรฐาน TP-PMD(ANSI Develope Copper FDDI Physical Layer Dependent Sublayer Technology)มีคุณลักษณะการทำงานดังนี้
SEGMENT LENGTH: หรือขนาดความยาวสายของแต่ละ Segment ถ้าหากใช้สาย UTP ACAT-5 แบบ 2 PAIR จะได้ความยาวที่ 100 เมตร ภายใต้มาตรฐาน EIA/TIA 568 UTP ซึ่งเป็นมาตรฐานการเดินสายโดยมีคู่สายแรกใช้เพื่อ ส่งข้อมูล ส่วนอีกหนึ่งคู่สายสำหรับรับข้อมูล
ชนิดของสายสัญญาณ : ความถี่ทางไฟฟ้าของ 10baesT คือ 20 MHZ ส่วนความถี่ทางไฟฟ้าสำหรับ10baesTX อยู่ที่ 125 MHZ แต่เนื่องจากมรการใช้วิธีการทาง MULITI-LEVEL TRANSMISSION-3 (MLT-3) WAVE Shapingเพื่อลดสัญญาณความถี่จาก125MHZ ลงมาเหลือ 41.6 MHZ ทำให้สามารถใช้ CAT-5UTP ได้สบาย นอกจากนี้ยังสามารถใช้สาย STP มาตรฐาน IBM TYPE 1 และ DB-9 Connector Connectors ที่ใช้ : เช่นเดียวกับ 10baesT คือ RJ-45
-10baesFX
10baesFX ถูกออกแบบให้ใช้กับงานที่ต้องใช้สาย Fiber Optic หรือระบบ FDDI Techologyb สำหรับรับส่งข้อมูลผ่าน Back Bone ความเร็วสูงหรือเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้ยาวกว่าเดิม10baesFX คล้ายกันกับ 10baesTX ตรงที่มีการยืมเอามาตฐานทางด้าน Physical Layer 0าก ANSI X3T9.5 FDDI Physical LayerMedia Dependent(FIBER PMD) โดยมีการประยุกต์ใช้งานสาย Fiber Opticแบบ Multimode ขนาด 2-STRAND (62.5/125 nm) ขาดของความยาวสูงสุดของสาย fiber ที่ใช้เชื่อมต่อสามารถแปรผันได้
- 10baesT4
10baesT4 เป็นมาตรฐานใหม่ของ PHY ขณะที่ 10baesTX และ FX ทำงานบนพื้นฐานของเทคโนโลยี FDDI
10baesT4 ใช้ UTP Category3 10baesT4 ที่ใช้สาย UTP 4 Pair ที่ใช้กับ Voyce Drade CAT 3 ก็เพียงพอ
10baesT4 ใช้สาย PAIR ครบทั้ง 4 คู่ โดยมี 3 PAIR ใช้ในการส่งข้อมูลขณะที่คู่ที่ 4 ใช้เพื่อเป็นช่องรับเพื่อตรวจสอบ collision 10baesT4 ไม่เหมือนกับ10baesT และ 10baesTX ตรงที่ไมีมีการกำหนดแน่ชัดว่าสาย PAIR คู่ไหนใช้รับส่งข้อมูล ด้วยเหตุนี้จึงรับส่งข้อมูลแบบ full-duplex ไม่ได้
10baesT4 ใช้ RJ-45 Connector 8 ขา ความยาวสูงสุดของ segment สำหรับ 10baesT4 คือ 100m และได้มาตรฐานการเดินสาย ELA-568 10baesT4 ใช้วิธีการเข้ารหัสแบบ 2b/6t ซึ่งทำงานได้ดีกว่า Manchester Encoding
5. IP private network คืออะไร มีหมายเลขใดบ้างที่อนุญาตให้ใช้งานได้ (5 คะแนน)

ตอบ Private Network คือ เน็ตเวิร์กส่วนตัว ซึ่งถูกแบ่งแยกออกมาจาก Public Network ตัว Public Network หรือที่เรียกว่า Internet หรืออภิมหาเครือข่าย ซึ่งต่อโยงเป็นใยกันไปทั่วโลกนั้นเองโดยปกติการต่อโยงของคอมพิวเตอร์ใน Public Network นั้นใช้โพรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็น Unique คือ เป็นกฎตายตัวว่าอุปกรณ์เครือข่าย (Network Device) แต่ละตัว ต้องมีเลข IP ที่ไม่ซ้ำกัน ถ้าซ้ำกันก็จะใช้งานไม่ได้เลย การเติบโตของกลุ่มเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) ทำให้ต้องมีการกำหนด IP Address เฉพาะ ซึ่งเป็นข้อตกลงสากลที่กลุ่มเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) สามารถนำเลข IP เหล่านี้ไปใช้ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะซ้ำกับใคร
6. จงแปลงค่า ip address ต่อไปนี้ให้เป็น binary 32 bit (15 คะแนน)
50.60.89.125 ตอบ = 00110010.00111100.01011001.01111101
100.25.99.242 ตอบ = 01100100.00011001.01100011.11110010
85.22.75.5 ตอบ = 01010101.00010110.01001011.00000101
205.35.44.65 ตอบ = 11001101.00100011.00101100.01000001
200.29.30 ตอบ = 11001000.00011101.00000011.00000000
7. จาก CIDR ต่อไปนี้จงแสดงหมายเลข subnet mask พร้อมแสดง binary 32 bit (10 คะแนน)
/18 ตอบ = 11111111.11111111.11000000.00000000
/20 ตอบ = 11111111.11111111.11110000.00000000
/25 ตอบ = 11111111.11111111.11111111.10000000
/28 ตอบ = 11111111.11111111.11111111.1111000
/15 ตอบ = 11111111.11111110.00000000.00000000
8. IP address Class B และ C จากบิตที่ถูก mark เข้ามา ต่อไปนี้จงแสดงวิธีคำนวณ จำนวน subnet และ จำนวน hosts ต่อ subnt พร้อมทั้งแสดงคำตอบเป็นหมายเลข subnet mask และบอกจำนวน CIDR (20 คะแนน)
11111111.11111111.11111111.11100000 ตอบ hosts = 62 subnet = 6 subnet mask 255.255.255.224 CIDR = /27
11111111.11111111.11111111.11110000 ตอบ hosts = 14 subnet = 14 subnet mask 255.255.255.240 CIDR = /28
11111111.11111111.11111111.11111100 ตอบ hosts = 6 subnet = 62 subnet mask 255.255.255.252 CIDR = /30
11111111.11111111.11111000.00000000 ตอบ hosts = 2046 subnet = 30 subnet mask 255.255.248.0 CIDR = /21
11111111.11111111.11111110.00000000 ตอบ hosts = 510 subnet = 126 subnet mask 255.255.254.0 CIDR = /23
9.จงบอกรายละเอียดเกี่ยวกับ IP Adderss ให้ครอบคลุมและเข้าใจ (5 คะแนน)
ตอบ IP Address เปรียบเสมือน หมายเลขโทรศัพท์ ประจำบ้าน ของเครื่อง Computer ที่อยู่ใน Network แบบ TCP/IP (ซึ่งใช้กันแพร่หลายมากที่สุดในขณะนี้ รวมถึง Internet ด้วย) IP Address สำหรับเครื่องแต่ละเครื่องจะต้องไม่มีการซ้ำกัน ไม่เช่นนั้นการส่งข้อความอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ เพราะข้อมูลที่รับส่งใน Network นั้นเปรียบเสมือน การพูดคุยทางโทรศัพท์ ระหว่าง เบอร์สองเบอร์ เครื่อง Computer ทุกๆเครื่องใน Network แบบ TCP/IP นั้นจะต้องมี IP Address ประจำตัวเสมอ ไม่มีไม่ได้ IPAddress ของแต่ละเครื่องเราสามารถ Set ได้เอง IP Address จะมีรูปแบบ
10. จงแสดงรหัส Ascii คำว่า "IaMa GiRI" (10 คะแนน)
ตอบ 73 97 77 97 32 71 105 82 73


ข้อสอบกลางภาควิชา

การจัดการระบบเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูล (3562104) 3/47
1. Protocal UDP ทำงานอยู่ Layes ใด
ก. 1
ข. 2
ค. 3.
ง. 4
2. Protocal IP ทำงานอยู่ Layes ใด

ก. 1
ข. 2.
ค. 3
ง. 4
3. 255.255.255.0 เป็น SubnetMask Default ของ Class ใด

ก. Claass A
ข. Claass B
ค. Claass C.
ง. Claass D
4. ข้อใดคืออักษร Z

ก. 0101101
ข. 10100111
ค. 01001010
. 01011010
5. ข้อใดคืออักษร P

ก. 4B
ข. 4C
ค. 50
ง. 54
6. ค่าเริ่มต้นของ a คือ

ก. 41
ข. 51
ค. 61
ง. 91
7. ข้อใดคืออักษร d

ก. 64
ข. 65
ค. 66
ง. 67
8. Topology ที่เป็น 10baseT ใช้การเชื่อมต่อแบบ

ก. BUS
ข. STAR
ค. RING
ง. TREE
9. ในระบบ Ethernet IEEE802.3 ใช้ Protocal ใน Layer ที่ 2 คือ Protocal ใด

ก. TCP (Tranmission Prot)
ข. IP (Internet protocal)
ค. CSMA/CA
ง. CSMA/CD
10. Port 21 ใช้กับ Application (โปรแกรม) ใด

ก. Talnet
ข. HTTP
ค. FTP.
ง. Rlogin
11. Port 80 ใช้กับ Application (โปรแกรม) ใด

ก. Talnet
ข. HTTP.
ค. FTP
. Rlogin
12. Port 23 ใช้กับ Application (โปรแกรม) ใด

ก. Talnet.
ข. HTTP
ค. FTP
ง. Rlogin
13. ทิศทางการสื่อสารข้อมูลที่สามารถส่งได้ทั่งไปและกลับพร้อมกันคือข้อใด

ก. Full Duplex.
ข. Half DuPlex
ค. Simplex
ง. ถูกทุกข้อ
14. สื่อสัญญาณชนิดใดที่มีราคาถูกที่สุด

ก. UTP
ข. Coaxial.
ค. Fiber Optic
ง. ถูกทุกข้อ
15. จากข้อ 14 สื่อสัญญาณชนิดใดที่เกิดการรบกวนจากสภาพภูมิอากาศแล้วมีผลกระทบมากที่สุด

ก. UTP
ข. Coaxial
ค. Fiber Optic
ง. ถูกทุกข้อ
16. โครงข่ายแบบ แพคเกตสวิตซ์ (Packet Switch) ใช้กับเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลข้อใด
ก. โทรศัพท์เคลื่อนที่
ข. โทรศัพท์สาธารณะ.
ค. โทรเลข
ง. อินเตอร์เน็ต
17. CSMA/CA ทำงานอยู่ที่ Layer ใดของ OSI Model
ก. 1
ข. 2
ค. 3
ง. 4
18. CSMA/CD ทำงานอยู่ที่ Layer ใดของ OSI Model
ก. 1
ข. 2.
ค. 3
ง. 4
19. ไอพีเวอร์ชั่น 6 (IPV6) มีกี่บิต
ก. 16
ข. 32
ค. 64
ง. 128.
20. ไอพีเวอร์ชั่น 4 (IPV4) มีกี่บิต
ก. 16
ข. 32.
ค. 64
ง. 128
21. ค่าเริ่มต้นของ IPV4 Class C เริ่มจาก
ก. 191-233
ข. 192-233
ค. 191-223
ง. 192-223.
22. บิตเริ่มต้นของ IP Class B คือ
ก. 0
ข. 10.
ค.110
ง. 1110
23. บิตเริ่มต้นของ IP Class C คือ
ก. 0
ข. 10
ค.110.
ง. 1110
24. 192.168.0.0/27 มี subnet mask เท่าใด
ก. 255.255.255.0
ข. 255.255.255.240
ค. 255.255.255.224.
ง. 255.255.255.248
25. ใครเป็นคนสร้างมาตรฐาน OSI Model ขึ้นมา
ก. IEEE
ข. RFC
ค. ISO.
ง. CCITT
26. เครือข่ายแบบใดใช้สาย Coaxial
ก. Bus
ข.Star
ค. Ring
ง. Mesh
27. บลูธูท (Bluetooth) จัดเป็นเทคโนโลยีใช้ในเครือข่ายแบบใด
ก. WAN
ข. MAN
ค. LAN.
ง. PAN
28. 255.255.254.0 มี CIDR เท่าใด
ก. /23.
ข. /24
ค. /25
ง. /26
29. 255.255.255.0 จาก Subnet ที่กำหนดให้ สามารถรองรับ Host ได้กี่ Host
ก. 126 Host
ข. 250 Host
ค. 254 Host.
ง. 255 Host
30. 255.255.255.128 จากSubnet ที่กำหนดให้ สามารถรองรับ Host ได้กี่ Host
ก. 124 Host
ข. 126 Host.
ค. 1022 Host
ง. 2046 Host
31. 11111111.11111111.11111111.11000000 จาก Binary Bit ที่กำหนดให้ รองรับได้กี่ Subnet
ก. 2 Subnet
ข. 4 Subnet.
ค. 6 Subnet
ง. 8 Subnet
32. 11111111.11111111.11111111.11100000 จาก Binary Bit ที่กำหนดให้ รองรับได้กี่ Host
ก. 6 Host
ข. 14 Host
ค. 30 Host.
ง. 62 Host
33. 11111111.11111111.11111111.11110000 จาก Binary Bit ที่กำหนดให้ รองรับได้กี่ Host
ก. 6 Host
ข. 14 Host.
ค. 30 Host
ง. 62 Host
34. IP Address Class A มีกี่เปอร์(%) ของ IP ทั่วโลก
ก. 12.5 %
ข. 25 %
ค. 45 %
ง. 50 %.
35. หมายเลข NET และHOST ที่ถูกต้องของ Class C
ก. N.N.N.H.
ข. N.N.H.H
ค. H.H.H.N
ง. H.H.N.N
36. 192.168.0.0/24 จะได้ค่า Subet Mask ค่าใด
ก. 255.255.254.0
ข. 255.255.255.0.
ค. 255.255.255.192
ง. 255.255.255.248
37. IP Private Network Class A คือข้อใด
ก. 192.168.0.0
ข. 127.0.0.1
ค. 172.16.0.0
ง. 10.0.0.0.
38. OSI มีกี่ Layer
ก. 5 Layer
ข. 6 Layer
ค. 7 Layer.
ง. 8 Layer
39. Layer บนสุดเรียกว่า
ก. Physical Layer
ข. Datalink Layer
ค. Pressentation Layer
ง. Application Layer.
40. . IP Address ทำงานอยู่ที่ Layer ใด
ก. Layer 1
ข. Layer 2
ค. Layer 3.
ง. Layer 4

ตอนที่ 2

1. จงแสดงวิธีทำการแปลค่าไอพีแอสเดรสที่กำหนดให้ต่อไปนี้เป็น Binary ( ฐาน 2)

1. 205.102.100.55. (5 คะแนน)

ตอบ 11001101.01100110.01100100.00110111

2. 68.99.56.60. (5 คะแนน)

ตอบ 01000101.01100011.0011100.00111100

3. 39.200.109.109. (5 คะแนน)

ตอบ 00100111.11001000.01101101.01101101

4. 22.165.10.0 (5 คะแนน)

ตอบ 00010110.10100101.000001010.0

5. 111.11.25.2 (5 คะแนน)

ตอบ 01101111.00001011.00011001.00000010

2. แสดงการคำนวน หมายเลข Subnet mask จาก CIDR ที่กำหนดให้ต่อไปนี้

1. /14 ( 3 คะแนน)

ตอบ 255.252.0.0

2. /20 ( 3 คะแนน)

ตอบ 255.255.240.0

3. /22 ( 3 คะแนน)

ตอบ 255.255.255.128

4. /25 ( 3 คะแนน)

ตอบ 255.255.255.248

5. /29 ( 3 คะแนน)

ตอบ

3. จงแสดงวิธีคำนวน Subnet และจำนวน host จาก bit ที่ mask เข้ามาดังนี้

1. Class A, mask เข้ามา 4 บิต ( 3 คะแนน)

ตอบ 11111111.11110000.00000000.00000000 Subnet = 14 host= 1048574

2.Class B, mask เข้ามา 4 บิต ( 3 คะแนน)

ตอบ 11111111.11111111.11111100.00000000 Subnet = 34 host= 1022

3.Class C, mask เข้ามา 4 บิต ( 3 คะแนน)

ตอบ 11111111.11111111.11111111.11100000 Subnet = 6 host= 30

4. จงวาดรูปโครงสร้างของ OSI model พร้อมอธิบายหน้าที่การทำงานของแต่ละ Layer (10 คะแนน)


1. Physical Layer เป็นชั้นล่างสุดที่ว่าด้วยการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ การกำหนดคุณทางกายภาพของสื่อประเภทต่าง ๆ ที่ใช้การรับส่งข้อมูล เช่น ใช้สายสัญญาณแบบไหน มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่าไร เป็นต้น ข้อมูลที่รับส่งในชั้นนี้จะเป็นข้อมูลในระดับฮาร์ดแวร์ ซึ่งจะเห็นเป็นทีละบิตเรียงต่อกันไปในลักษณะของ ‘0’ หรือ ‘1’

2. Data Link Layer เป็นชั้นที่ว่าด้วยการรวบกลุ่มเข้าด้วยกันเป็นชุดที่เรียกว่า “เฟรม” (Frame) เพื่อเตรียมส่งออกทางเครือข่ายโดยผ่ายทาง Physical Layer นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูลที่มาจากระดับของ Physical Layer

3. Network Layer เป็นชั้นที่ว่าด้วยการแยกแยะความแตกต่างของคอมพิวเตอร์แต่ละตัวในเครือข่ายโดยอาศัยโดยอาศัยหมายเลขประจำเครื่องหรือ Address และยังกำหนดเส้นทางในการวิ่งของข้อมูลในเครือข่ายจากต้นทางถึงปลายทาง ข้อมูลในชั้นนี้จะเรียกว่า “แพ็กเก็ต” (Packet)

4. Transport Layer เป็นชั้นที่ว่าด้วยการแบ่งข้อมูลที่ได้รับมาจาก Session Layer ที่โดยมากจะมีขนาดใหญ่ให้กลายเป็นแพ็กเก็ตที่มีขนาดคงที่ก่อนจะส่งต่อให้ Network Layer ส่วนในแง่ของการรับข้อมูล Transport Layer จะทำการต่อคืนแพ็กเก็ตต่าง ๆ ที่ได้รับให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีการจัดการเกี่ยวกับแพ็กเก็ตอื่น ๆ อีก เช่น การตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด การจัดลำดับและการควบคุมความเร็วในการรับส่ง

5. Session Layer เป็นชั้นที่ว่าด้วยวิธีการจับคู่หรือเชื่อมโยงแอพพลิเคชั่นที่อยู่ต่างเครื่องกัน เพื่อให้สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมาควรจะเป็นของแอพพลิเคชั่นคู่ไหนได้ ทำให้เราสามารถเรียกใช้โปรแกรมสำหรับการสื่อสารพร้อมกันหลายตัวได้ เช่น เราสามารถเปิดโปรแกรมบราวเซอร์ พร้อมกับอ่านอีเมล์ได้พร้อม ๆ กัน

6. Presentation Layer เป็นชั้นที่ว่าด้วยการจัดรูปแบบข้อมูลที่รับมาจาก Session layer ให้อยู่ในรูปแบบที่แอพพลิเคชั่นแต่ละตัวสามารถเข้าใจได้

7. Application Layer เป็นชั้นที่ว่าด้วยการติดต่อกับแอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมต่าง ๆ เช่น บราวเซอร์ อีเมล์ FTP และ Telnet เป็นต้น

โจทย์:จงกาเครื่องหมาย ลงหน้าข้อที่ถูกและเครื่องหมาย X ลงหน้าข้อที่ผิด

_______ 1. IPAdress ClassAมีhost สูงสุด 16,777,216-2 host

_______ 2.Subnet mask Defualt Class B=255.255.192.0

_______ 3.การตรวจสอบ Subnet เดียวกันจะใช้วิธี XOR

_______ 4.การต่อสาย UTP แบบไขว้ใช้สำหรับการต่อแบบคอมพิวเตอร์ไปยังคอมพิวเตอร์ _______ 5.CIDR /24 จะสามราถ Broadcast host ได้ถึง 254 host

_______ 6. IEEE802.11คือเครือข่าย WMAN

_______ 7. IPAdress ทำงานอยู่ที่ Leyer 4 ของ OSI Model

_______ 8. เครือข่าย Internetเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครือข่ายแบบ Curcuit Switch

_______ 9. Leyer ที่ 3ของ OSI มี Router ทำงานอยู่

______ 10.Fast Ethernet มีความเร็ว 1000 mbps


เฉลย

1. ถูก

2 . ผิด

3.

4.

5.ถูก

6.

7.ผิด

8.

9.ถูก

10.

โจทย์:จงเลือกคำตอบ A-N จากคอลัมน์ตัวเลือกมาเติมลงในคอลัมคำตอบให้ถูกต้อง

_______ 1. CLASS A A โครงข่ายแบบ Message Switch

_______ 2.CLASSS B B STAR

_______ 3. CLASS C C RING

_______ 4. 10 BASE2 D CSMA

_______ 5. 100BASET E CSMA/CD

_______ 6. 1110 F CSMA/CA

_______ 7. WLAN G 21.25.0.0

_______ 8.Ethernet H FIBER

_______ 9. 128 Bit I 192.25.0.0

_______ 10. 2*8 J Tick Coax

L IP V6

M 256

N 254

O Start Bit Class C

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

(Datacomm)

คำอธิบายรายวิชา http://ora.chandra.ac.th/kiadtipo/datacom.php
e-learnning http://www.blmiacec.ac.th/E-learning/communication/INDEX.HTM

(OS)

VMWear คืออะไร
โปรแกรม VMWare เป็นโปรแกรมที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อสร้างคอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Machine) ขึ้นบนระบบปฏิบัติการเดิมที่มีอยู่ โดยทั้งสองระบบสามารถทำงานพร้อมกันได้โดยแยกจากกันค่อนข้างเด็ดขาด (เสมือนเป็นคนละเครื่อง)
เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ DOS
สิงหาคม 1981 ไอบีเอ็มได้เปิดตัวพีซีรุ่นแรก และใช้ DOS 1.0 ใช้อุปกรณ์เก็บข้อมูลที่เป็นดิสก์ไดรว์ แบบที่ใช้แผ่นจานแม่เหล็ก หรือดิสเก็ตต์เพียงหน้าเดียว จุข้อมูล 160 กิโลไบต์ (KB) (1 กิโลไบต์ = 1,024 ไบต์ หรือ 1,024 ตัวอักษร)
ต่อมา ได้มีการปรับปรุงดิสก์ไดรว์ใหม่ ให้เป็นแบบใช้ได้สองหน้า ความจุเพิ่มเป็น 2 เท่า คือ 320 กิโลไบต์ และใช้ DOS 1.1
DOS 1.1 มีการเพิ่มการบันทึกเวลาที่สร้างไฟล์ใหม่ขึ้นบนแผ่นดิสก์เก็ตต์จากนาฬิกาภายในเครื่อง และสามารถอ่านข้อมูลจากที่บันทึกโดย DOS 1.0 ได้

ปี 1983 ไอบีเอ็ม ออกพีซีรุ่นใหม่ชื่อ PC/XT มีโครงสร้างทางฮาร์ดแวร์ใกล้เคียงกับพีซีรุ่นเดิม แต่เพิ่มฮาร์ดดิสก์ขนาด 10 เมกกะไบต์ (1 เมกกะไบต์ = 1,024 กิโลไบต์) มีการปรับปรุง DOS 1.1 โดยเพิ่มคำสั่งและการทำงานภายในหลายๆ อย่าง โดยเอาแนวความคิดมาจาก ระบบปฏิบัติการที่แพร่หลายที่สุดคือเครื่อง มินิคอมพิวเตอร์ และใช้ระบบปฏิบัติการ Unix และส่งผลให้เกิด DOS 2.0 ขึ้น
DOS 2.0 สามารถใช้กับอุปกรณ์ทางฮาร์ดแวร์ต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยหากมีการเพิ่มอุปกรณ์ใดๆ เข้าไป ก็ไม่ต้องไปแก้โปรแกรม DOS แต่ให้เขียนโปรแกรมย่อยสำหรับอินเตอร์อฟสให้เข้าตามแบบที่ DOS กำหนด แล้วนำมาเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งของ DOS


โปรแกรมย่อยๆ ที่ว่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนหรือควบคุมอุปกรณ์ หรือ เรียกว่า Device Driver
ต่อมา ไอบีเอ็มได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับในบ้าน เรียกว่า พีซีจูเนียร์ และมีการปรับปรุง DOS เป็นเวอร์ชัน 2.1
สิงหาคม 1984 ไอบีเอ็มผลิตเครื่อง พีซี/เอที (PC/AT) AT ย่อมาจาก Advanced Technology รุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ค่อนข้างมาก เช่น เปลี่ยนซีพียูจาก 8088 เป็น 80286 มีการเพิ่มคำสั่งใหม่ๆ เข้ามา แต่ยังทำงานคำสั่งของ 8088 ได้ทุกคำสั่ง มีฮาร์ดดิสก์ 20 เมกะไบต์ และมีดิสก์ไดรว์สำหรับแผ่นดิสเก็ตต์หรือฟล็อปปีดิสก์เพิ่มความจุเป็น 1.2 เมกะไบต์ (มากกว่า 3 เท่าของดิสก์เก็ตแบบเดิม) และมีการปรับปรุง DOS เป็นเวอร์ชัน 3.0
ต่อมา ไอบีเอ็มได้ออกอุปกรณ์ทางฮาร์ดแวร์ คือแผงวงจรสำหรับเชื่องโยงพีซีหลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน เรียกว่า Local Area Network (LAN) มีการใช้ดิสก์และพรินเตอร์ร่วมกัน มีสายต่อแต่ละเครื่องถึงกัน มีการปรับปรุง DOS เป็นเวอร์ชันใหม่คือ 3.1
ปี 1986 ไอบีเอ็มได้ออกเครื่องพีซีกระเป๋าหิ้วเรียกว่า PC Convertible ใช้ดิสก์เก็ต ขนาด 3.5 นิ้ว ใช้จอภาพ LCD (Liquid Crystal Display) DOS ปรับปรุงเป็น 3.2


DOS 3.30
เป็นโปรแกรมที่ปรับปรุงมากจาก เวอร์ชัน 3.20 และยังใช้กับเครื่อง PC convertible อยู่ โดยปรับปรุงดังนี้
- มีการควบคุมฮาร์ดดิสก์ให้ทำงานเร็วขึ้น และเก็บข้อมูลดีขึ้น
- มีการใช้งานตัวอักษรได้กับภาษาต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ โดยไม่จำเป็นต้อง Boot เครื่องใหม่ หากจะมีการเปลี่ยนภาษา

DOS 4.0
- มี DOS Shell หรือ command processor ที่ติดต่อกับผู้ใช้ในลักษณะมีเมนูให้เลือก มีรูปกราฟิกช่วยสื่อความหมาย ใช้ mouse เลือกเมนู
- จัดฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดเกิน 32 เมกะไบต์ได้ในพาร์ติชันเดียวและไดรว์เดียว โดยรองรับขนาดของดิสก์ได้ 512 เมกะไบต์
- สนับสนุนการใช้งาน EMS (Expanded Memory Specification) เวอร์ชัน 4.0
- ถึงแม้จะมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะ ความต้องการใช้หน่วยความจำเพิ่มขึ้น และปัญหาด้านความเร็วในการประมวลผล

DOS 5.0 กรกฎาคม 2534
- ใช้งานกับ High Memory Area และ Upper Memory Block เพื่อลดเนื้อที่หน่วยความจำที่ DOS ใช้
- ใช้ดิสเก็ตต์ขนาด 3.5 นิ้ว ที่มีความจุ 2.88 MB โดยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากเดิม 1.44 MB
- สามารถกู้ไฟล์คืนได้จากการถูกลบที่ไม่ตั้งใจ
- Text Editor เป็น full-screen editor
- DOSKEY ใช้สำหรับดึงคำสั่งเก่าที่เคยพิมพ์ไปแล้วกลับมาใช้ใหม่
- DOS Shell สามารถ load โปรแกรมหลายๆ โปรแกรมไปเก็บไว้ในหน่วยความจำได้

DOS 6.0 เมษายน 2536
- Interlink ใช้ติดต่อรับส่งข้อมูลในลักษณะของการข้ามไปใช้ดิสก์ และส่งข้อมูลไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ที่ต่ออยู่กับพีซีอีกเครื่องหนึ่ง โดยที่พีซีสองเครื่องต่อกันผ่าน parallel port
- DoubleSpace ใช้ย่อข้อมูลที่เก็บลงในดิสก์เพื่อประหยัดเนื้อที่
- MemMaker จัดการใช้ที่ในหน่วยความจำ RAM แบบต่างๆ ให้สามารถใส่โปรแกรมเข้าไป run ได้มากขึ้น
- MSAV (Microsoft Anti-Virus) เป็นโปรแกรมตรวจสอบทำลายไวรัส
-DEFRAG โปรแกรมจัดที่บนดิสก์ เพื่อเก็บข้อมูลไม่กระจัดกระจาย
- POWER โปรแกรมประหยัดพลังงาน ใช้สำหรับเครื่อง laptop หรือ notebook ที่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่
- MSBACKUP โปรแกรมแบ็คอัพตัวใหม่ นำมาแทน BACKUP ของ DOS ตัวเดิม
- Multiple configuration เป็นคำสั่งจัดการ configuration ตอนบู๊ตเครื่องหลายๆ แบบจากไฟล์ config.sys


DOS 6.22 ตุลาคม 2536
- เพิ่มโปรแกรม Scandisk สำหรับตรวจสอบสภาพดิสก์ และแก้ไขข้อผิดพลาด คล้ายกับ CHKDSK ได้ทำงานได้กว้างขวางกว่า ใช้ซ่อมแซมข้อมูลภายในดิสก์ได้
- ปรับปรุงการทำงาน Multiple Configuration ให้สามารถ confirm ก่อนจะ run แต่ละคำสั่งในไฟล์ autoexec.bat (DOS 6.0 ทำได้แต่ในไฟล์ config.sys)
- DoubleSpace เพิ่มการทำงานแบบ DoubleGuard ในการตรวจสอบว่าโปรแกรม DoubleSpace ทำงานถูกต้องหรือไม่ ทำการขยายข้อมูลให้ดิสก์ที่ถูกย่อแล้วกลับเป็นดิสก์ธรรมดาได้
-SmartDrive เพื่อป้องกันไฟดับหรือเครื่องขัดข้องแล้วทำให้ข้อมูลสูญหาย
- MOVE,COPY XCOPY เพิ่มการถามให้ confirm ก่อนจะ copy
- DISKCOPY เพิ่มการใช้ดิสก์เป็นที่พักข้อมูล ทำให้ไม่ต้องสลับดิสก์เมื่อมีการ copy
- DIR, CHKDSK, FORMAT, MEM เพิ่มการแสดงผลโดยมี , (comma) คั่นทุกๆ สามหลัก
- DEFRAG ปรับปรุงการใช้งาน Extended Memory ให้ดีขึ้น ทำให้ใช้กับดิสก์ขนาดใหญ่และมีไฟล์จำนวนมากได้

เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ Window
วินโดวส์ที่ถูกพัฒนาโดยไมโครซอฟต์ในรุ่นแรก ๆจะใช้กับเครื่องไอบีเอ็ม และไอบีเอ็มคอมแพททิเบิล ที่มีซีพียูเบอร์ 8028680386 และ 80486 และในปี 1990 ไมโครซอฟต์ได้ออกวินโดวส์เวอร์ชัน 3.0 ออกมาเพื่อทำการโปรโมทผู้ใช้ไม่ให้หันไปนิยมใช้แมคอิ นทอชโอเอสแทนดอสอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าวินโดวส์จะง่าย ต่อการใช้งานมากกว่าดอสแต่ในเวอร์ชันแรก ๆ การใช้งานก็ยังไม่ง่ายเท่าของแมคโอเอสและนอกจากนี้กา รติดตั้งอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ ก็ยังทำได้ยาก
วินโดวส์ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จากวินโดวส์เวอร์ชัน 3มาเป็น 4.0 วินโดวส์ 95 และวินโดวส์ 98 ในปัจจุบัน วินโดวส์ 95 และวินโดวส์ 98 ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการอย่างแท้จริงเนื่องจากมันไม ่ต้องอยู่ภายใต้ การควบคุมของดอสการติดตั้งจะแยกออกจากดอสอย่างเด็ดขา ดไม่จำเป็นต้องติดตั้งดอสก่อนนอกจากความง่ายและสะดวก ต่อการใช้งานแล้ววินโดวส์เวอร์ชันใหม่นี้ยังรวมซอฟต์ แวร์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ข องตนเองเข้ากับระบบเครือข่ายได้อย่างง่ายดายโดยเฉพาะ อย่างยิ่งเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและยังเอื้ออำนวยความ สะดวกในการโอนถ่ายซอฟต์แวร์หรือที่เรียกว่าดาวน์โหลด (Download) โปรแกรมเป็นอย่างมากนอกจากนี้วินโดวส์เวอร์ชันใหม่นี ้ยังมีความสามารถทางด้าน Plug–and-Playซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถนำอุปกรณ์ มาตรฐานต่าง ๆ เช่นซีดีรอมไดรฟ์ ซาวน์การ์ด โมเด็ม ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ฯลฯ ที่สนับสนุนPlug-and-Play มาต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองและเมื่อเปิด เครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 95 หรือ 98จะทำหน้าที่ติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้และทำให้เครื่อง คอมพิวเตอร์รู้จักอุปกรณ์เหล่านี้เอง โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
ในปัจจุบันตลาดพีซีเกือบทั้งหมดถูกครองครองโดยระบบปฏ ิบัติการวินโดวส์รวมทั้งมีการผลิตซอฟต์แวร์ที่รันอยู ่บนระบบปฏิบัติการประเภทนี้ออกมาสู่ตลาดอย่างมากมายด ังนั้นจึงมีผู้ใช้เป็นจำนวนมากที่นิยมใช้งานระบบปฏิบ ัติการวินโดวส์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วินโดวส์ 95 และ วินโดวส์ 98
Windows 95 เป็นระบบปฏิบัติการอย่างแท้จริงสร้างขึ้นมาเพื่อแทน DOS และ Windows 3.1 เลข 95 บอกถึงปีที่ออกจำหน่าย(ค.ศ. 1995) ส่วน Windows 98 ออกจำหน่าย ค.ศ. 1998 เป็นเพียงการปรับปรุงWindows 95 ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการใหม่
Windows NT พัฒนาขึ้นมาต่างหากจาก Windows 95กล่าวคือไม่ได้ใช้ Windows 95 เป็นฐานถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการคนละอย่างกับ Windows 95ถึงแม้จะมีหน้าตาเหมือนกัน มีวิธีใช้อย่างเดียวกัน คำว่า NT ย่อมาจาก NewTechnology เมื่อบริษัทไมโครซอฟท์คิดสร้าง OS ตระกูลนี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการจะแยกระหว่าง OSที่ใช้ในสำนักงานซึ่งโยงกันเป็นเครือข่ายประเภทที่ มีแม่ข่าย กับ OSที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตามบ้านซึ่งไม่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายแบบ LANไมโครซอฟท์ตั้งใจให้ใช้ระบบปฏิบัติการนี้ในระบบเค รือข่ายในวงการธุรกิจWindows NT แบ่งเป็น Windows NT Server ใช้ในเครื่องที่เป็นแม่ข่าย และWindows NT Client ใช้ในเครื่องที่เป็นลูกข่าย เราสามารถใช้ Windows NTClient เดี่ยว ๆ แทน Windows 95/98 ก็ได้แต่เนื่องจากต้องการทรัพยากรของเครื่องมากกว่า จึงอาจจะไม่เหมาะสม
Windows 2000 สืบเชื้อสายจาก Windows NT ไม่ใช่จากWindows 95/98 ก่อนที่จะมีรุ่นนี้ Windows NT พัฒนามาถึง Windows NT 4แต่แทนที่จะเรียกรุ่นต่อไปว่า Windows NT 5 กลับเปลี่ยนชื่อเป็น Windows2000 ใช้ปี ค.ศ. ที่ออกจำหน่ายเป็นชื่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันว่าสืบเชื้อสายจาก Windows 95/98 อนึ่ง Windows 2000ที่ใช้ในเครื่องที่เป็นลูกข่าย ใช้ชื่อว่า Windows 2000 Professionalไม่ใช่ Windows 2000 Client
Windows Millennium เป็นชื่อที่ชวนให้สับสนมากที่สุดเนื่องจากคำว่า Millennium บอกถึงสหัสวรรษใหม่คนจำนวนมากจึงคิดว่าเป็นอีกชื่อหน ึ่งของ Windows 2000(ซึ่งเป็นผลมาจากการที่มักเข้าใจผิดกันว่าปี 2000คือปีแรกของสหัสวรรษใหม่) แต่ที่จริง Windows Millenniumคือวินโดวส์ตระกูล Windows 95/98 รุ่นสุดท้ายหลังจากนี้บริษัทไมโครซอฟท์เลิกพัฒนาวินโ ดวส์ตระกูลนี้
Windows XP เป็นวินโดวส์รุ่นที่เราๆยังใช้อยู่(ส่วนใหญ่ใช้เล่นเ กม) เป็นสายพันธุ์Windows NT แต่เพิ่มฉบับที่สำหรับให้ใช้ตามบ้านได้ด้วย เรียกว่า WindowsXP Home Edition ซึ่งมาใช้แทนสายพันธุ์ Windows 95
Windows Vista เป็น Windowsรุ่นปัจจุบันที่มีฟังค์ชั่นมากมาย(สเปคก้อมาก มายไปด้วย-*-)ระบบกราฟฟิคแบบสุดยอดอย่าง Aero Filp 3D เป็นต้น และการใช้งานที่สะดวก
Windows Seven เป็นรุ่นในอนาคต ที่น่าจะมาในปี 2009ซึ่งเป็นที่น่าเป็นห่วงเพราะได้มีการประกาศจาก PC WOLD ว่าอาจเป็น Windowsรุ่นสุดท้าย แต่ทาง Microsoft ได้ประกาศ ไม่ไช่รุ่นสุดท้ายแน่นอน

เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ Linux ,Unix
Linux ลีนุกซ์ถือกำเนิดขึ้นในฟินแลนด์ ปี คศ. 1980 โดยลีนุส โทรวัลด์ส (Linus Trovalds) นักศึกษาภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ในมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ลีนุส เห็นว่าระบบมินิกซ์ (Minix) ที่เป็นระบบยูนิกซ์บนพีซีในขณะนั้น ซึ่งทำการพัฒนาโดย ศ.แอนดรูว์ ทาเนนบาวม์ (Andrew S. Tanenbaum) ยังมีความสามารถไม่เพียงพอแก่ความต้องการ จึงได้เริ่มต้นทำการพัฒนาระบบยูนิกซ์ของตนเองขึ้นมา โดยจุดประสงค์อีกประการ คือต้องการทำความเข้าใจในวิชาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วยเมื่อเขาเริ่มพัฒนาลีนุกซ์ไปช่วงหนึ่งแล้ว เขาก็ได้ทำการชักชวนให้นักพัฒนาโปรแกรมอื่นๆมาช่วยทำการพัฒนาลีนุกซ์ ซึ่งความร่วมมือส่วนใหญ่ก็จะเป็นความร่วมมือผ่านทางอินเทอร์เนต ลีนุสจะเป็นคนรวบรวมโปรแกรมที่ผู้พัฒนาต่างๆได้ร่วมกันทำการพัฒนาขึ้นมาและแจกจ่ายให้ทดลองใช้เพื่อทดสอบหาข้อบกพร่อง ที่น่าสนใจก็คืองานต่างๆเหล่านี้ผู้คนทั้งหมดต่างก็ทำงานโดยไม่คิดค่าตอบแทน และทำงานผ่านอินเทอร์เนตทั้งหมด ปัจจุบันเวอร์ชันล่าสุดของระบบลีนุกซ์ที่ได้ประกาศออกมาคือเวอร์ชัน 2.0.13 ข้อสังเกตในเรื่องเลขรหัสเวอร์ชันนี้ก็คือ ถ้ารหัสเวอร์ชันหลังทศนิยมตัวแรกเป็นเลขคู่เช่น 1.0.x,1.2.x เวอร์ชันเหล่านี้จะถือว่าเป็นเวอร์ชันที่เสถียรแล้วและมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเลขคี่เช่น 1.1.x, 1.3.x จะถือว่าเป็นเวอร์ชันทดสอบ ซึ่งในเวอร์ชันเหล่านี้จะมีการเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆลงไป และยังต้องทำการทดสอบหาข้อผิดพลาดต่างๆอยู่
UNIX ในปี 1969-1970 Kenneth Thompson, Dennis Ritchie และพรรคพวกใน AT&T Bell Labs เริ่มทำการพัฒนาระบบปฏิบัติการเล็กๆขึ้นมาเพื่อสนองการใช้งานบางอย่าง ภายหลังระบบปฏิบัติการนี้ก็ถูกเรียกชื่อว่า UNIX (ซึ่งเมื่อก่อนเคยให้ชื่อโปรเจคนี้ว่า MULTICS)ในปี 1972-1973 ระบบได้ถูกทำการเขียนใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา C ด้วยความที่มองการณ์ไกลของผู้เขียนในขณะนั้น ทำให้ unix กลายเป็นสิ่งแปลกในสายตาคนทั่วไป และเริ่มมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง เนื่องจากตัวระบบสามารถทำงานบนฮาร์ดแวร์ในหลายรูปแบบได้ การพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ก็ถูกเขียนขึ้นมาเสริมตัวระบบเองซึ่งในขณะนั้นก็มีหลายมหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมพัฒนาตัวระบบกับทาง Bell Labs เช่นกันในปี 1979 ตัวปรับปรุงเวอร์ชั่นที่ 7 ของ Unix ได้ถูกปล่อยออกมาสู่สาธารณะภายหลังจากนั้นเอง Unix ก็มีอนาคตที่สั่นคลอน เนื่องจากกลุ่มมหาวิทยาลัยต่างๆ นำโดย Berkeley ได้ตั้งทีมขึ้นมาโดยการจัดตั้งองค์กรที่ชื่อ Berkeley Software Distribution (BSD) ในขณะที่ AT&T ก็พัฒนาระบบของตนต่อไปในชื่อ System III ถัดมาเป็น System Vในช่วงปลายยุค 1980 ถึงต้นยุค 1990 สงครามระหว่างสองค่าย UNIX ที่แตกตัวมาจากพ่อเดียวกันก็เกิดขึ้น โดยในหลายๆปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็ต่างรับเอาความสามารถที่คู่แข่งตนมีมาผนวกในระบบปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา ในแง่ของการตลาดแล้ว System V เอาชนะในด้านของ มาตรฐานไปได้ และผู้ผลิตฮาร์ดแวร์หลายเจ้าก็หันมาซบอกกับ AT&Tอย่างไรก็ตาม System V ได้จบชีวิตลงจากการที่ BSD ได้พัฒนาขีดความสามารถขึ้นมาอย่างสูง จนทำให้เหมือนเกิดการรวมตัวของแต่ละผ่านในด้านความสามารถของโปรแกรม ถ้าใครแข็งแรงพอ คนนั้นก็สามารถอยู่ได้ ผลคือ BSD ยังไม่ตาย และกลับได้รับความนิยมอย่างสูง ผลของการรวมตัวครั้งนั้นทำให้มีลูกๆของ BSD เกิดขึ้นมามากมาย ทั้งหมดเกิดจาก รุ่นปู่ 7 รุ่นที่ผ่านมาของ Unix หลายๆเวอร์ชั่นก็ยังคงได้รับการสานต่อจากบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่เคยพัฒนาระบบจากเวอร์ชั่นก่อนหน้า เพื่อไว้ใช้ในองค์กร หรือส่งขาย เช่น Sun Solaris (เป็นตัวพัฒนาจาก System V) สำหรับ 3 เวอร์ชั่นของ BSD นั่นจบลงที่การเปิดเป็น Open Source นั่นคือ FreeBSD (ที่ผมใช้อยู่) NetBSD และ OpenBSD

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คำอธิบายรายวิชา


ระบบปฏิบัติการ 2
Operating System 2
รหัสวิชา :4121402 หน่วยกิต : 3(2-2)

คำอธิบายรายวิชา :
ศึกษาหน้าที่และการดำเนินการของระบบปฏิบัติการ เกี่ยวกับการจัดการหน่วยความจำ หน่วยประมวลผลกลาง การจัดการแฟ้มข้อมูล หน่วยรับและแสดงผล ข้อมูลในลักษณะเดียวของผู้ใช้คนเดียว งานเดียว และใช้หลายคนหลายงานพร้อมกัน รวมทั้งการสื่อสารระหว่างขบวนการ (Interprocess Communication: IPC)

แนะนำตัวเอง



ชื่อ นางสาวสิริมนต์ เอี่ยมธนวินท์ (นางเฉลิมพร มณีวงษ์) รหัสนักศึกษา 4922252105


โปรแกรมวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ






Tel. 0-842-971-266